แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สถานีรถไฟปาดังเบซาร์อยู่ในประเทศมาเลเซียห่างเขตแดนประเทศไทย 500 เมตร ภายในสถานีมีที่ทำการด่านศุลกากรของไทยและมาเลเซียเมื่อนายตรวจศุลกากรประจำด่านของไทย ยึดเห็ดหอมซึ่งเป็นสินค้าต่างประเทศไม่ปรากฏเจ้าของมาเพื่อเก็บในด่านศุลกากร ขณะรอคนเปิดประตูห้องอยู่นั้น จำเลยเข้ามาแสดงตัวเป็นเจ้าของขอคืน แต่ไม่ได้คืนจึงเกิดการทำร้ายกันขึ้น เช่นนี้ เมื่อเป็นความผิดตามกฎหมายภาษีศุลกากรกับความผิดซึ่งเกี่ยวเนื่องกันคือต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และเอาของกลางไป ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
การที่จำเลยนำเห็ดหอมไปวางไว้ในที่พักพนักงานตรวจรถไป ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟปาดังเบธาร์ และห่างเขตแดนไทยถึงห้าร้อยเมตร ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยนำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร ฯลฯ แม้เพียงชั้นพยายามกระทำผิด การที่จำเลยไปนำเห็ดหอมกลับคืนจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักลอบนำเห็ดหอมจำนวน ๒ ถุง อันเป็นสินค้าต่างประเทศที่ยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรและยังมิได้เสียอากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร จากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิได้ผ่านด่านตรวจของเจ้าพนักงานศุลกากรและมิได้เสียภาษีศุลกากรตามกฎหมาย และจำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้าไปในห้องเก็บของอันเป็นสถานที่ราชการโดยไม่มีเหตุอันสมควรกับได้ต่อสู้ทำร้ายร่างกาย นายจำลองกลิ่นส่ง เจ้าหน้าที่ศุลกากรซึ่งทำการจับกุมจำเลยกับพวก เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการต่อสู้และขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันนำเห็ดหอม ๒ ถุง ดังกล่าวอันเป็นสินค้าที่ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ยึดรักษาไว้เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายไป ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร ฯลฯ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๖ ข้อหาอื่นให้ยก เห็ดหอมของกลางไม่ริบ
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ กระทงหนึ่ง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๒, ๘๓ กระทงหนึ่ง และผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๔๐, ๒๙๖ อีกกระทงหนึ่ง ฯลฯ ของกลางริบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและการเผชิญสืบของศาลชั้นต้นรับกันว่า สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซียห่างเขตแดนประเทศไทย ๕๐๐ เมตร เรียกกันทั่วไปว่าสถานี ๑ ภายในสถานีมีที่ทำการด่านศุลกากรของไทยและมาเลเซียโดยของไทยอยู่ด้านทิศเหนือ มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษี และยังมีสถานี ๒ ในประเทศไทยห่างเขตแดน ๓๐๐ – ๔๐๐ เมตร เพื่อให้ขบวนรถไฟหยุดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ศุลกากรร่วมกันตรวจค้นจับกุมของหนีภาษีและผิดกฎหมายโดยเฉพาะไม่มีการให้เสียภาษีกันอีก ที่จอดรถไฟที่เรียกกันว่าสถานี ๒ นี้ ไม่มีอาคารสถานีหรือที่ทำการด่านศุลกากรแต่อย่างใด ตามวันเวลาเกิดเหตุ นายจำลอง กลิ่นส่ง นายตรวจศุลกากร ๓ประจำด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ได้ยึดเห็ดหอม ซึ่งเป็นสินค้าต่างประเทศไม่ปรากฏเจ้าของมาจากที่ทำการพนักงานตรวจรถไฟ (พ.ต.ร.) ซึ่งอยู่ติดกับอาคารสถานีรถไฟทางด้านเหนือมาเพื่อเก็บในด่านศุลกากร ขณะที่รอคนเปิดประตูห้องอยู่นั้น จำเลยได้เข้ามาแสดงตัวเป็นเจ้าของขอของคืนนายจำลองไม่ยอมคืน จึงเกิดทำร้ายกัน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการแรกก็คือ ข้อหาตามฟ้องของโจทก์ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือไม่ และเพียงใด
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุคดีนี้เกิดที่รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซียสถานที่เกิดเหตุเป็นสถานีร่วมปาดังเบซาร์ ซึ่งมีประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟ ระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิสและสหรัฐมลายู ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๖๗ ข้อ ๑๗ ว่า “เมื่อเจ้าพนักงานศุลการักษ์ของประเทศที่ไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของแห่งที่ตั้งสถานีร่วม ฤาทางร่วม พบผู้กระทำผิดต่อกฎหมายภาษีฤากฎข้อบังคับของประเทศแห่งตนภายในสถานีร่วม ฤาในทางร่วมให้เจ้าพนักงานผู้นั้นใช้กฎหมายนั้นบังคับคดี และให้ใช้อำนาจตามกฎหมายอนุญาตเพื่อทำการไต่สวน บันทึกสำนวนความผิด ยึดของกลาง,จับผู้กระทำผิด, จำหน่ายของกลางที่ริบไว้, ยอมไกล่เกลี่ยเปรียบเทียบและทำการอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อระงับปราบปรามเหตุการณ์ทุจริตต่าง ๆ ในเรื่องลอบลักหนีภาษีให้น้อยลง” และข้อ ๑๘ ว่า “ความผิดที่บุคคลได้กระทำในสถานีร่วมฤาในทางร่วมอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายภาษีและกฎข้อบังคับของประเทศที่ไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของแห่งที่ตั้งสถานีร่วมนั้นให้ชำระในศาลของประเทศนั้น และให้ลงโทษตามกฎหมายของประเทศนั้นได้” เช่นนี้ เมื่อเหตุเกิดขึ้นที่ที่ทำการพนักงานตรวจรถซึ่งอยู่ภายในบริเวณสถานีร่วมและเป็นความผิดตามกฎหมายภาษีศุลกากรกับความผิดซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน คือข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและเอาของกลางไป ศาลไทยจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
ในข้อหาลักลอบนำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านการตรวจและเสียภาษีศุลกากรนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าเห็ดหอมของจำเลย ๒ ถุง วางอยู่ในที่พักพนักงานตำรวจรถไฟ ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟปาดังเบซาร์อันเป็นที่ตั้งด่านศุลกากรไทยในประเทศมาเลเซีย ห่างเขตแดนประเทศไทยถึง ๕๐๐ เมตร ดังนี้ ถือว่าจำเลยนำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ยังไม่ได้ แม้หากจำเลยตั้งใจจะนำเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยก็ยังมีโอกาสกลับใจหรือนำของไปเสียภาษีให้ถูกต้องดังที่จำเลยนำสืบก็เป็นได้ และการวางของเช่นนี้ไม่ปรากฏว่าเป็นที่หวงห้ามแต่ประการใด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดแม้เพียงขั้นพยายามกระทำผิด
ในข้อหาฐานต่อสู้ขัดขวางทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๔๐ และ ๒๙๖ นั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย จำคุก ๑ ปี ๖ เดือนตามมาตรา ๒๙๖ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย จำคุก ๑ ปี ๖ เดือนเช่นกัน แต่ปรับบทว่าเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๐ ซึ่งเป็นบทหนักจึงเป็นการแก้น้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งของกลางอันเจ้าพนักงานได้ยึดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๒ นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่นำเห็ดหอมไปวางไว้ไม่เป็นความผิด การที่จำเลยไปนำกลับคืนจึงหามีความผิดไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานลักลอบนำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิได้ผ่านการตรวจและเสียภาษีศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ และให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพาเอาไปเสียซึ่งของกลางอันเจ้าพนักงานได้ยึดไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ของกลางคืนเจ้าของ