คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4683/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็น 2 กระทงแต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาทำร้าย และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน กับฎีกาขอให้ลดโทษ และขอรอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายสมบัติ เมืองสองสี โดยมีเจตนาฆ่าและนายสมบัติถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขณะเกิดเหตุสิบตำรวจโทสุวรรณ เครือทอง เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าจับกุมจำเลย จำเลยต่อสู้ขัดขวางโดยใช้มีดปลายแหลมแทงสิบตำรวจโทสุวรรณหลายครั้ง แต่แทงไม่ถูกเพราะสิบตำรวจโทสุวรรณหลบเสียทัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 208,289(2), 371, 80, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 2 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 4 ริบมีดของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุก 4 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และมาตรา 296 ประกอบมาตรา 80 อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย 2 บท แต่โทษเท่ากันทั้ง 2 บท จึงลงโทษบทเดียวจำคุก 1 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษปรับ100 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 50 บาท รวมจำคุก 5 ปี และปรับ 50 บาทของกลางให้ริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็น 2 กระทง แต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาว่าขณะที่สิบตำรวจโทสุวรรณจะเข้าจับกุมจำเลย สิบตำรวจโทสุวรรณมิได้แต่งเครื่องแบบหรือแสดงตัวให้จำเลยทราบว่าเป็นตำรวจ จำเลยจึงแกว่งมีดเพื่อป้องกันตัว โดยจำเลยไม่มีเจตนาที่จะทำร้าย และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการจับกุม และจำเลยฎีกาขอให้ลดโทษให้แก่จำเลย กับขอรอการลงโทษล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share