แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 2 มิได้ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องของดการบังคับคดีไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกา การขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 วรรคแรกจะต้องมีการบังคับคดีโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ก่อนแล้วในขณะนั้น เนื่องจากวิธีการบังคับคดีที่จะงดคือการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น เพื่อเป็นการคุ้มครองป้องกันมิให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้รับความเสียหายจากการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินก่อนที่จะได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นโจทก์ หาได้ให้ความคุ้มครองแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถึงขนาดลิดรอนสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิให้ดำเนินการเพื่อผลในการบังคับคดีตามคำพิพากษากับทรัพย์อื่นต่อไปไม่ คำร้องของโจทก์ที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ขอให้งดการบังคับคดีที่อาจมีต่อไปในอนาคตไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์โจทก์ที่ 1เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่จำเลย และได้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดทุกรายการแล้ว แต่ยังได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องว่าโจทก์ที่ 1 ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1287/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด และหากโจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดีจะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของโจทก์ที่ 1 โดยวิธีอื่นเพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ ขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ส่อว่าเป็นการฟ้องคดีเพื่อประวิงการบังคับคดี จึงไม่มีเหตุที่จะงดการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ทั้งสองไว้ดำเนินการต่อไปและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 มิได้ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องของดการบังคับคดี จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ 2 คงมีปัญหาที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นควรไต่สวนคำร้องก่อนเพราะโจทก์ที่ 1 มิได้ขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์ที่ถูกยึดขายทอดตลาดไปแล้วแต่โจทก์ที่ 1 ประสงค์ขอให้งดการบังคับคดีที่อาจมีต่อไปในอนาคตนั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรกซึ่งมีความว่า “ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอทำเป็นคำร้องต่อศาลให้งดการบังคับคดีไว้ โดยเหตุที่ตนได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้น ซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด และถ้าหากตนเป็นฝ่ายชนะจะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนโดยวิธีอื่น เพราะสามารถจะหักกลบลบหนี้กันได้” ตามบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่าการขอให้งดการบังคับคดีในกรณีนี้จะต้องมีการบังคับคดีโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ก่อนแล้วในขณะนั้น เนื่องจากวิธีการบังคับคดีที่จะงดคือการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น เพื่อเป็นการคุ้มครองป้องกันมิให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้รับความเสียหายจากการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สิน ก่อนที่จะได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในคดีลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นโจทก์ ถ้อยคำในตัวบทหาได้ให้ความคุ้มครองแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถึงขนาดลิดรอนสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิให้ดำเนินการเพื่อผลในการบังคับคดีตามคำพิพากษากับทรัพย์อื่นต่อไปไม่คำร้องของโจทก์ที่ 1 ดังกล่าวไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่อ้างการไต่สวนคำร้องจึงไม่เกิดประโยชน์
พิพากษายืน