แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้วัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองอันเป็นข้อความซึ่งบังคับให้จดทะเบียนนั้นยังไม่ได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาก็ตามแต่ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจถือเอาประโยชน์จากการขดจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในข้อกิจการจำนองของจำเลยดังกล่าวได้แล้วตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1023 สัญญาจำนองจึงผูกพันจำเลย หลังจากจำเลยที่ 3 เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสืบต่อจากจำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 3 ยังคงยอมให้จำเลยที่ 4 ครอบครองตราของห้างอยู่และเมื่อจะทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ก็ยินยอมให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้ดำเนินการเสมือนยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามเดิมโดยจำเลยที่ 3 มิได้ทักท้วงว่ากล่าวหรือแจ้งให้โจทก์ทราบแต่ประการใดพฤติการณ์บ่งชัดว่าจำเลยที่ 3 ตั้งใจเชิดจำเลยที่ 4 ให้ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญาค้ำประกันในนามของห้างจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ก็มิได้ล่วงรู้ข้อความจริงเช่นว่านั้น ดังนี้จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 821และจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าของโจทก์ สาขาเยาวราช เป็นหนี้โจทก์อยู่ 3 รายการ คือหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ(ทรัสต์รีซีท) และหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ ออฟเครดิต รวมเป็นหนี้ทั้งหมดคิดถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2526 เป็นเงิน 14,884,945.84 บาทหนี้ทั้งสามรายการดังกล่าวมีนางสุวรรณา สุวิพร และจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และนำหลักทรัพย์มาจำนองเป็นประกันโดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าถ้าบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์จำนองไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นชำระจนครบต่อมานางสุวรรณาถึงแก่กรรมจำเลยที่ 4 ถึงที่ 10 ในฐานะทายาทจึงต้องรับผิดในหนี้ของนางสุวรรณาและจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 2 ด้วย จึงขอให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันชำระเงินรวมค่าใช้จ่ายในการบังคับจำนองอีก 500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,885,445.84 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 1,813,557.19 บาทและดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 7,809,670 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และทรัพย์สินอื่น ๆ ในกองมรดกของนางสุวรรณา สุวิพร ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ผู้ทำสัญญาเบิกเงินบัญชี ทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ(ทรัสต์รีซีท) และสัญญาเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ไม่มีอำนาจทำแทนจำเลยที่ 1 จำนวนหนี้ที่โจทก์เรียกร้องไม่ถูกต้องสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 และสัญญาจำนองเครื่องจักร ผู้ที่ลงชื่อในสัญญาไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 และการกระทำดังกล่าวอยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ให้การและแก้ไขคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมยอดหนี้ทั้งสามรายการไม่ถูกต้อง นางสุวรรณา สุวิพรไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองตามฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความและจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ไม่เคยได้รับมรดกของนางสุวรรณา
จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 8 และที่ 9 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 10 เพราะโจทก์ถอนฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน 7,791,091.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 1,182,311.52 บาท นับแต่วันที่1 กรกฎาคม 2524 ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากต้นเงิน3,335,680.38 บาท นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2522 ดอกเบี้ยร้อยละ7 ครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 3,273,100 บาท นับแต่วันที่ 12 มกราคม 2522จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องขายทอดตลาดชำระหนี้ หากยังไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ชำระจนครบ
โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ถ้าบังคับจำนองไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ในกองมรดกของนางสุวรรณา สุวิพร ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ขึ้นสู่ศาลฎีกามีว่า สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้แก่โจทก์ผูกพันจำเลยที่ 2 และมีผลถึงจำเลยที่ 3 หรือไม่ สำหรับกรณีสัญญาจำนองนั้น ศาลฎีกาตรวจดูหนังสือรับรอง ตามเอกสารหมาย จ.8และ จ.12 แล้ว ปรากฏว่าในขณะทำสัญญาจำนองเครื่องจักรตามฟ้องในบริษัทจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 4 และนางสุวรรณา สุวิพร เป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจกระกทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนในห้างจำเลยที่ 2ก็มีจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และมีนางสุวรรณาเป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่ง ดังนี้ ในเบื้องต้นจึงเห็นได้ว่าผู้มีอำนาจจัดการจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในขณะนั้นเป็นชุดเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 จะนำทรัพย์สินของตนมาจำนองแก่โจทก์เพื่อให้จำเลยที่ 1ได้เงินทุนมาหมุนเวียนใช้จ่ายในกิจการของจำเลยที่ 1 ย่อมเกิดมีขึ้นได้เป็นธรรมดา ข้อเท็จจริงปรากฏตามหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมายจ.24, จ.25 และคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์เอกสารหมายล.1 ว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองต่อนายทะเบียนในวันที่ 26 พฤษภาคม 2521 ต่อมาอีก3 วันคือในวันที่ 29 พฤษภาคม 2521 จำเลยที่ 2 ได้มาทำสัญญาจำนองเครื่องจักรเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์แสดงว่าจำเลยที่ 2มีเจตนาจะจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองดังกล่าวเพื่อทำสัญญาจำนองเครื่องจักรแก่โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เมื่อต่อมาภายหลังในวันที่ 1 มิถุนายน 2521 นายทะเบียนรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในข้อกิจการจำนองให้ตามที่จำเลยที่ 2ขอจดทะเบียนแล้ว แม้วัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองอันเป็นข้อความซึ่งบังคับให้จดทะเบียนนั้นยังไม่ได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาก็ตาม แต่ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจถือเอาประโยชน์จากการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในข้อกิจการจำนองของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวได้แล้ว ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1023 สัญญาจำนองตามเอกสารหมายจ.24 และ จ.25 จึงผูกพันจำเลยที่ 2 ส่วนกรณีสัญญาค้ำประกันนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้แก่โจทก์มีจำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อและประทับตราของห้างจำเลยที่ 2 ปรากฏตามสัญญาเอกสารหมาย จ.11 ซึ่งขณะทำสัญญานั้น จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตัวหุ้นส่วนผู้จัดการจากจำเลยที่ 4 เป็นจำเลยที่ 3 แล้วตามคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย ล.2 ล.3 ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่า สัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 แต่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงว่าหลังจากจำเลยที่ 3 เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสืบต่อจากจำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 3 ยังคงยอมให้จำเลยที่ 4 ครอบครองตราของห้างอยู่และเมื่อจะทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ก็ยินยอมให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้ดำเนินการเสมือนยังเป็นห้างหุ้นส่วนผู้จัดการตามเดิม โดยจำเลยที่ 3 มิได้ทักท้วงว่ากล่าวหรือแจ้งให้โจทก์ทราบแต่ประการใด พฤติการณ์บ่งชัดว่าจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ของห้างจำเลยที่ 2ตั้งใจเชิดจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการคนเดิมให้ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญาค้ำประกันนั้นในนามของห้างจำเลยที่ 2ซึ่งโจทก์ก็มิได้ล่วงรู้ข้อความจริงเช่นว่านั้น ดังนี้ จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 เมื่อสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกัน มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ให้ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นี้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 2 ก็ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อโจทก์ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.