แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ไม่ได้เข้ายึดถือครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ระหว่างปี พ.ศ. 2506 – 2507 ถึงปัจจุบัน และฝ่ายจำเลยบางคนเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกผักมา 8 – 9 ปีแล้ว เช่นนี้ การครอบครองของโจทก์ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ การที่โจทก์ยอมออกจากที่พิพาทโดยเชื่อคำบอกล่าวของเจ้าพนักงานว่าเป็นที่สาธารณะตั้งแต่ก่อนฟ้องคดีนี้เป็นเวลาถึง 10 ปีเศษ ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมาขัดขวางการครอบครองยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ ตามมาตรา 1377 วรรคสอง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า กรณีนี้ต้องนำกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จมาใช้บังคับนั้น โจทก์มิได้ตั้งประเด็นมาให้คำฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่บ้าน ที่สวนตามกฎหมายดังกล่าว กรณีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนอันจะอยู่ในบังคับของกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า ๑ แปลง โจทก์ได้มาโดยซื้อจากนายวันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ แล้วยึดถือครอบครองตลอดมา โดยทำเป็นที่นา ที่สวน และขุดบ่อเลี้ยงปลา ครั้นถึงระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๐๗ นายปุ่นปลัดอำเภอตรีอำเภอเมืองขอนแก่น นายบุรินทร์ พนักงานที่ดินอำเภอตรี อำเภอเมืองขอนแก่น ได้บังคับขู่เข็ญหลอกลวงโจทก์ให้ออกจากที่ดินแปลงนี้ อ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณะ พร้อมบังคับให้โจทก์คืน ส.ค.๑ เลขที่ ๒๓๕ ซึ่งโจทก์แจ้งไว้ มิฉะนั้นจะจับกุมไปลงโทษ โจทก์กลับจึงออกจากที่ดิน นายจ่อย นายมา นายเจียม ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๗ โจทก์ทราบว่าไม่ได้เป็นที่สาธารณะจึงได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นซึ่งได้สั่งให้เจ้าหน้าที่อำเภอเมืองขอนแก่นสอบสวนเสร็จแล้ว ได้มีคำสั่งว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของโจทก์ให้ออก น.ส.๓ ให้โจทก์ ครั้นวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๑๘ โจทก์ยื่นคำขอออก น.ส. ๓ พร้อมกับนำเจ้าหน้าที่รังวัด วันรุ่งขึ้นจำเลยทุกคนร้องเรียนต่อนายอำเภอเมืองขอนแก่นว่าเป็นที่สาธารณะ การที่โจทก์ไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินชั่วคราวเพราะถูกบังคับขู่เข็ญ ศาลกลางจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หาใช่โจทก์สละการครอบครองที่ดินไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินแปลงนี้ ห้ามเกี่ยวข้องต่อไปและห้ามจำเลยคัดค้านการออก น.ส. ๓
จำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๕๓ และจำเลยที่ ๕๕ ถึงจำเลยที่ ๗๒ ให้การว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เป็นที่สาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันมาไม่น้อยกว่า ๘๐ ปี หากโจทก์ซื้อที่พิพาทจากนายวัน ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์แจ้งการครอบครองไว้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทราบดีว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประโยชน์จึงยอมให้นายปุ่น และนายบุรินทร์ ยึดแบบแจ้งครอบครองคืนไปโดยมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือเถียงสิทธิประการใด ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๕๔ ศาลชั้นต้นอนุญาต
วันชี้สองสถาน โจทก์แถลงรับว่าปัจจุบันโจทก์ยังไม่ได้เข้ายึดถือครอบครองที่พิพาท เพียงแต่กำลังดำเนินการเพื่อขอออก น.ส. ๓ ก็ถูกจำเลยคัดค้าน โจทก์ไม่ได้เข้ายึดถือครอบครองมาตั้งแต่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน ขณะนี้ฝ่ายจำเลยบางคนเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกผักมา ๘ – ๙ ปีแล้ว ราษฎรอื่นไม่เคยเข้าไปใช้ที่พิพาท ที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดการชี้สองสถาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ประกาศใช้บังคับ ต้องนำกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จมาใช้บังคับ โจทก์ไม่ได้สละการครอบครองที่ดิน ที่ออกไปจากที่ดินเพราะหลงเชื่อตามคำบังคับขู่เข็ญหลอกลวงของเจ้าพนักงาน ขอให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ หรือพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกามีใจความเช่นเดียวกับชั้นอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำแถลงรับของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ได้เข้ายึดถือครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน และฝ่ายจำเลยบางคนเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกผักมา ๘ – ๙ ปีแล้ว เช่นนี้ การครอบครองของโจทก์ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗ วรรคแรก โจทก์จึงมิใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ การที่โจทก์ยอมออกจากที่พิพาทโดยเชื่อคำบอกกล่าวของเจ้าพนักงานว่าเป็นที่สาธารณะตั้งแต่ก่อนฟ้องคดีนี้เป็นเวลาถึง ๑๐ ปีเศษ ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราว++ขัดขวางการครอบครองยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ ตามมาตรา ๑๓๗๗ วรรคสอง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า กรณีนี้ต้องนำกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จมาใช้บังคับนั้น เห็นว่าโจทก์มิได้ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นที่บ้าน ที่สวนตามกฎหมายดังกล่าว กรณีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงว่าที่พิพาทเป็นที่บ้าน ที่สวนอันจะอยู่ในบังคับของกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จหรือไม่
พิพากษายืน