แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีโจทก์และสามีจำเลยได้ตกลงทำบันทึกกันยอมให้ฝ่ายจำเลยไถ่นาพิพาทคืนจากโจทก์ได้ในราคา 5,200 บาท บันทึกนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850, 851 และที่ดินพิพาทเป็นสินบริคณห์ ย่อมอยู่ในอำนาจสามีโจทก์ที่จะจัดการสินบริคณห์ รวมทั้งจำหน่ายได้ด้วยตามมาตรา 1468, 1472 เดิม อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น โจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่สามีโจทก์ทำไว้โดยต้องยอมให้จำเลยไถ่ถอนคืนตามสัญญานั้น จะปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินมี น.ส.3 ให้โจทก์ แล้วจำเลยไม่ไปทำนิติกรรมโอนขายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทำนิติกรรมโอนขายให้โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ เพราะจำเลยเป็นหญิงมีสามี ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมซื้อขายโดยลำพังได้ จำเลยถูกหลอกลวงให้ลงชื่อในสัญญา จำเลยไม่เคยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ ในการเปรียบเทียบประนอมหนี้ สามีโจทก์ยอมให้จำเลยและสามีไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนได้ในราคา 5,200 บาท จึงฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าสัญญาซื้อขายท้ายฟ้องเป็นโมฆะ ให้โจทก์คืนที่พิพาทให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า มารดาจำเลยกู้เงินโจทก์ไป ต่อมามารดาจำเลยตาย จำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ แล้วทำสัญญากัน โดยไม่ได้มีการหลอกลวงอย่างใด สามีโจทก์ได้ทำความตกลงกับสามีจำเลย โดยโจทก์มิได้มอบอำนาจให้ตกลง ไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเกิน 1 ปีแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิบังคับโจทก์ชำระหนี้และส่งคืนที่ดินให้จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินรายพิพาทให้โจทก์และยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายกาศสามีโจทก์ และนายกุลสามีจำเลยได้ตกลงทำบันทึกกันไว้ที่คณะกรรมการ ก.ส.ส. ยอมให้ฝ่ายจำเลยไถ่นาพิพาทคืนจากโจทก์ได้ในราคา 5,200 บาทจริง โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานในบันทึกข้อตกลงนั้นด้วย บันทึกนั้นจึงมีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 851 การที่โจทก์อ้างว่าสามีโจทก์ไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ได้นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นสินบริคณห์ย่อมอยู่ในอำนาจของสามีโจทก์ที่จะจัดการสินบริคณห์ รวมทั้งจำหน่ายได้ด้วยตามมาตรา 1468, 1473 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิมอันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ฉะนั้น ข้อต่อสู้ของโจทก์ที่ว่าสามีโจทก์ไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ในเรื่องที่ดินรายนี้จึงเป็นอันตกไป โจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่สามีโจทก์ได้ทำไว้เกี่ยวกับสินบริคณห์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทรายนี้จะเป็นสิทธิของโจทก์มาแต่เดิมก็ตามที่เมื่อได้เกิดมีกรณีพิพาทขึ้นระหว่างโจทก์จำเลย และได้มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยมีสิทธิไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์ได้ในราคา 5,200 บาทเช่นนี้ โจทก์ก็ต้องยอมให้จำเลยไถ่ถอนคืนตามสัญญานั้น โจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ อย่างไรก็ตามที่จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับเงิน 3,000 บาทจากจำเลยเป็นค่าไถ่ถอนนั้น เป็นการผิดจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่สามีจำเลยได้ตกลงไว้ว่าจะไถ่ถอนคืนในราคา 5,200 บาท จำเลยจึงชอบที่จะไถ่ถอนคืนจากโจทก์ได้ในราคา 5,200 บาทตามที่ตกลงไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยมีสิทธิไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์ได้ในราคา 5,200 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยชำระเงิน 5,200 บาทให้โจทก์แล้วจึงให้โจทก์ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้จำเลยและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์