คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4673/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่ชักชวนกันด้วยความคึกคะนองเนื่องจากมึนเมาสุราว่า จะดักทำร้ายผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายแล้วนำเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปทิ้งในคลอง โดยที่ไม่ได้มีการพูดจาหรือตกลงกันว่าจะมาเอาในภายหลัง แสดงว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์ เพราะมิได้มีการกระทำที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะเอาไปเป็นของตนเองอันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีเจตนาลักทรัพย์การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกฐานรับของโจร และภายในเวลา 3 ปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยที่ 1 มากระทำผิดคดีนี้ฐานทำร้ายร่างกายจึงเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 93 ไม่ได้ แต่เพิ่มโทษได้ตามมาตรา 92 แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93 โดยไม่ได้ขอมาตรา 92 มาด้วย ก็ชอบที่จะเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 92ซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2534เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีไม้และมีดปาดตาลเป็นอาวุธติดตัวปล้นเอารถจักรยานยนต์1 คัน ราคา 15,000 บาท ของนายจำรัส กิตติยายาม ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ในการปล้นทรัพย์จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันชกต่อยใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ศีรษะและลำตัวหลายที และใช้มีดปาดตาลขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้มีดแทงประทุษร้ายผู้เสียหายทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การปล้นทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายเหตุเกิดที่ตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 30/2533 ของศาลชั้นต้นฐานรับของโจร จำคุก 1 ปี6 เดือน และภายในเวลา 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ จำเลยที่ 1 มากระทำผิดคดีนี้อันเป็นการกระทำผิดที่จำแนกไว้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันและมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษและจำเลยที่ 1กระทำผิดคดีนี้และคดีก่อนอายุเกินกว่า 17 ปีแล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83, 93 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 และริบไม้กับมีดของกลางเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้วจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 83 ลงโทษจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 จำคุกคนละ 16 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 24 ปี จำเลยที่ 4มีอายุนับถึงวันกระทำผิดยังไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 8 ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนกับข้อนำสืบของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 16 ปีจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 10 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 4มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน ริบไม้ไผ่และมีดของกลาง
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสี่ทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานทำร้ายร่างกายได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์เป็นเหตุลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 4 ขณะกระทำผิดอายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้วจำคุก 9 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 4 มีกำหนด6 เดือน คำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ร่วมกันปล้นทรัพย์เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปหรือไม่ ประจักษ์พยานโจทก์คงมีแต่ผู้เสียหายแต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายว่าหลังจากถูกจำเลยทั้งสี่กับพวกทำร้ายแล้วผู้เสียหายวิ่งหนีและไม่ได้หันกลับไปดูผู้เสียหายจึงไม่รู้ว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกทำอย่างไรกับรถจักรยานยนต์ของตนพยานหลักฐานของโจทก์คงมีคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสี่ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.11, จ.12 และ จ.13สำหรับคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสี่ไม่มีรายละเอียดแห่งการกระทำโดยมีแต่ข้อความที่ว่าเจ้าพนักงานแจ้งข้อหาปล้นทรัพย์และจำเลยทั้งสี่รับสารภาพ ส่วนคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 นั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้ให้การในรายละเอียดที่ได้กระทำในวันเกิดเหตุด้วย ซึ่งก็ได้ความเพียงว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสี่กับพวกดื่มสุราที่ศาลาบางช้างตายแล้วได้พากันเดินออกจากศาลาเพื่อกลับบ้าน ระหว่างที่เดินไปตามทางมีการพูดชักชวนกันดักรถจักรยานยนต์ที่จะผ่านโดยการเอาไม้ขวางเมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จำเลยที่ 2 เอาไม้ไผ่ขวางทำให้ผู้เสียหายเสียหลักรถจักรยานยนต์ล้มลง แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 กับพวกใช้ไม้ตีผู้เสียหาย หลังจากผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยทั้งสี่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับรถจักรยานยนต์จึงช่วยกันยกทิ้งลงไปในคลองบริเวณที่เกิดเหตุ จากคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าวฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่คบคิดหรือวางแผนการกันมาก่อนเพื่อดักทำร้ายผู้เสียหายโดยประสงค์ต่อทรัพย์ หากแต่เป็นการพูดจาชักชวนกันไประหว่างเดินกลับบ้านด้วยความคึกคะนองเนื่องจากมึนเมาสุราว่าจะดักทำร้ายผู้ที่ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไปแล้วจำเลยทั้งสี่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับรถจักรยานยนต์ซึ่งในสำนวนการสอบสวนนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 4 ขับรถจักรยานยนต์ได้หากจำเลยทั้งสี่มีเจตนาทุจริตก็น่าจะขับหรือนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป การเอารถจักรยานยนต์ไปทิ้งในคลองก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้พูดจาหรือตกลงกันว่าจะมาเอาในภายหลัง ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อนายหนุ่มกับพวกของจำเลยชักชวนไปปล้นรถจักรยานยนต์จำเลยทั้งสี่ก็มิได้ปฏิเสธนั้น ก็มีเพียงแต่จำเลยที่ 1 คนเดียวที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่านายหนุ่มชวนไปดักปล้นรถจักรยานยนต์ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่ามีการชักชวนกันไปดักรถจักรยานยนต์จำเลยที่ 1 อาจฟังคำพูดของนายหนุ่มผิดเพี้ยนไปเนื่องจากมึนเมาสุราแล้วให้การต่อพนักงานสอบสวนไปเช่นนั้น จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกได้พูดจาชักชวนกันไปปล้นรถจักรยานยนต์ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ได้ความแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสี่เจตนาทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์ ทั้งการเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทิ้งลงไปในคลองหลังจากผู้เสียหายวิ่งหนีไปนั้นมิได้มีการกระทำที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะเอาไปเป็นของตนเอง อันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป แต่เป็นการกระทำไปด้วยความคึกคะนองประสาคนที่เมาสุราเท่านั้น มิใช่เป็นการมุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์แต่ประการใดจำเลยทั้งสี่จึงไม่มีเจตนาลักทรัพย์การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
อนึ่ง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นถือได้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการกระทำผิดในคดีนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจะเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 ไม่ได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 92 แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93โดยไม่ได้ขอมาตรา 92 มาด้วย ก็ชอบที่จะเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 92 ซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 หนึ่งในสาม รวมเป็นจำคุก 2 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share