คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะวินิจฉัยว่าข้าราชการผู้ใดมีความผิดทางวินัยหรือไม่นั้นเป็นอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ.2518ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของราชการฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์วินิจฉัยว่าโจทก์มีความผิดและใช้ดุลพินิจสั่งลงโทษโจทก์ไปตามความเหมาะสมกับสภาพความผิดเท่าที่อยู่ในอำนาจของจำเลยโดยชอบอย่างไรแล้วศาลไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปชี้ขาดว่าโจทก์มีความผิดทางวินัยหรือไม่อีกเมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 6 ตำแหน่ง อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จำเลยเป็นอธิการบดี มีหน้าที่บังคับบัญชารับผิดชอบงานบริหารและงานธุรการของมหาวิทยาลัยฯ จำเลยกระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โดยจำเลยได้ออกคำสั่งลดโทษโจทก์ทางวินัยโดยที่โจทก์มิได้กระทำผิด เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์รวมเป็นเงิน 7,997 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยกระทำในฐานะผู้บังคับบัญชาของโจทก์ และเป็นการสั่งการตามขั้นตอนที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่ากรณีสืบเนื่องมาจากองค์การค้าของคุรุสภามีหนังสือทวงหนี้ค่าหนังสือที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สั่งซื้อ จำเลยซึ่งเป็นอธิการบดีให้รองอธิการบดีตรวจสอบว่ามีหนี้สินอยู่จริงหรือไม่และให้เสนอความเห็นต่อจำเลยต่อมารองอธิการบดีรายงานต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบงานห้องสมุดในขณะที่ทำการซื้อหนังสือ ได้ดำเนินการจัดซื้อและรับหนังสือไว้โดยมิได้ดำเนินการเบิกจ่ายให้เจ้าหนี้ตามระเบียบราชการและหนังสือที่ได้รับมาบางส่วนขาดหายไปจากบัญชี โจทก์ควรเป็นผู้รับผิดชอบทั้งต่อเจ้าหนี้และต่อมหาวิทยาลัย เห็นควรตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย จำเลยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ คณะกรรมการสอบสวนเสนอความเห็นต่อจำเลยว่า โจทก์ในฐานะหัวหน้าแผนกห้องสมุด คณะศึกษาศาสตร์ ทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นที่เรียบร้อยและไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2498 ข้อ 31 ซึ่งแก้ไขโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2510 เป็นการผิดวินัยตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2518 เห็นสมควรลงโทษทางวินัยตามมาตรา 85 ขั้นภาคทัณฑ์ และให้โจทก์ใช้เงินค่าหนังสือที่สูญหายไปในขณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์เป็นเงิน 3,962 บาท เมื่อจำเลยได้รับรายงานการสอบสวนแล้ว ได้ให้หัวหน้ากองกลางตรวจสอบระดับมาตรฐานการลงโทษกรณีตามลักษณะความผิดของโจทก์จากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเพื่อถือเป็นแนวทางในการลงโทษซึ่งทางกองกลางติดต่อสอบถามและเสนอความเห็นว่ากรณีความผิดของโจทก์ควรลงโทษตัดเงินเดือน10 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลา 2 เดือน จำเลยจึงมีคำสั่งลงโทษโจทก์โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยต่อคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยก็มีมติให้ยืนการลงโทษ ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า”จำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์ก็โดยที่ได้พิจารณาแล้วเชื่อว่าโจทก์ได้กระทำผิดทางวินัยตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน ส่วนกรณีกระทำความผิดที่กล่าวในคำสั่งลงโทษของจำเลยนั้น ก็เพียงเป็นเรื่องที่แสดงถึงพฤติการณ์และความเป็นมาของการกระทำผิดเท่านั้นการที่จำเลยพิจารณาแล้วเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้มีความผิดทางวินัยและมีคำสั่งลงโทษโจทก์ไปนั้น จึงเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 มาตรา 84 กรณีหาได้เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตราดังกล่าวไม่ และการที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีความผิดทางวินัยหรือไม่นั้น เป็นอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของราชการฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์วินิจฉัยว่าโจทก์มีความผิดใช้ดุลพินิจสั่งลงโทษโจทก์ไปตามความเหมาะสมกับสภาพความผิดเท่าที่อยู่ในอำนาจของจำเลยโดยชอบอย่างไรแล้ว ศาลไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปชี้ขาดว่าโจทก์มีความผิดทางวินัยหรือไม่อีก ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาเรื่องค่าเสียหายต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share