คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4662/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และผู้ร้องเป็นนิติบุคคลเดียวกัน ได้ฟ้องบังคับชำระหนี้ต่างรายกันและขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยหนังสือสัญญาจำนองฉบับเดียวกันแก่ที่ดินพิพาทเป็นคนละคดี ผู้ร้องอยู่ในฐานะเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งและเป็นเจ้าหนี้ต่างรายกับโจทก์ มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 289 วรรคสอง และเมื่อเป็นการจำนองโดยหนังสือสัญญาฉบับเดียวกัน บุริมสิทธิของผู้ร้องและบุริมสิทธิของโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากที่ดินจำนองพิพาทตามคำพิพากษาของตนรวมกันได้ไม่เกินวงเงินจำนอง แม้สิทธิของผู้ร้องมิใช่เป็นสิทธิที่จะขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ตนก่อนโจทก์ในคดีนี้ตามความที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 289 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่ผู้ร้องไม่อาจยึดที่ดินจำนองพิพาทได้อีกเพราะที่ดินจำนองพิพาทจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกอยู่ในบังคับข้อต้องห้ามมิให้ยึดซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองเข้ามาในคดีนี้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 15,140,340.25 บาท พร้อมดอกเบี้ย จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามผิดนัดหรือชำระไม่ครบ ยอมให้โจทก์ยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 19449 และ 18775 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 10837/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันกับพวกชำระเงินจำนวน 2,479,760.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่ผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ผู้ร้องจนครบถ้วน แต่จำเลยในคดีดังกล่าวไม่เคยชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องไม่อาจบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้อีก เนื่องจากโจทก์ยึดไว้แล้ว ขอให้มีคำสั่งให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่ผู้ร้องภายหลังชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ผู้ร้องเป็นบุคคลเดียวกันกับโจทก์ซึ่งได้ฟ้องขอให้บังคับจำนองแล้ว โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิได้รับเงินจากจากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญอยู่แล้วโดยหาจำต้องขอรับชำระหนี้จำนองซ้ำอีกไม่ จึงไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์และผู้ร้องเป็นนิติบุคคลเดียวกัน จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 19449 จำเลยที่ 3 จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 18775 เป็นประกันหนี้ที่มีต่อโจทก์ (ผู้ร้อง) ต่อมาโจทก์และผู้ร้องได้แยกฟ้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระหนี้ในมูลหนี้ต่างรายกัน และบังคับจำนองเป็นคดี 2 คดี ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้และในคดีหมายเลขแดงที่ 10837/2541 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ ซึ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ ร่วมกันกับพวกชำระหนี้แก่โจทก์และผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบถ้วนทั้งสองคดี มีปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองเข้ามาในคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์และผู้ร้องได้ฟ้องบังคับชำระหนี้ต่างรายกันและขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยหนังสือสัญญาจำนองฉบับเดียวกันแก่ที่ดินพิพาทเป็นคนละคดีกัน แม้ผู้ร้องกับโจทก์เป็นนิติบุคคลเดียวกันแต่ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งและเป็นเจ้าหนี้ต่างรายกับโจทก์ในคดีนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง และเมื่อเป็นการจำนองโดยหนังสือสัญญาฉบับเดียวกัน บุริมสิทธิของผู้ร้องและบุริมสิทธิของโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากที่ดินจำนองพิพาทตามคำพิพากษาของตนรวมกันได้ไม่เกินวงเงินจำนอง แม้สิทธิของผู้ร้องมิใช่เป็นสิทธิที่จะขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ตนก่อนโจทก์ในคดีนี้ตามความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคหนึ่ง แต่ผู้ร้องไม่อาจยึดที่ดินจำนองพิพาทได้อีกเพราะที่ดินจำนองพิพาทของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกอยู่ในบังคับข้อต้องห้ามมิให้ยึดซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหนึ่งจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของตนในคดีอื่นซึ่งตนมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายสนับสนุนให้กระทำได้ดังเช่น การขอเฉลี่ยทรัพย์หรือการขอรับชำระหนี้จำนองหรือบุริมสิทธิโดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองเข้ามาในคดีนี้ได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องของผู้ร้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

Share