คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4661/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และผู้ร้องได้ฟ้องบังคับชำระหนี้ต่างรายกันและขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยหนังสือสัญญาจำนองฉบับเดียวกันแก่ที่ดินพิพาทเป็นคนละคดีกัน แม้ผู้ร้องกับโจทก์เป็นนิติบุคคลเดียวกัน แต่ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งและเป็นเจ้าหนี้ต่างรายกับโจทก์ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับได้ยึดไว้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 วรรคสอง และเมื่อเป็นการจำนองโดยอาศัยหนังสือสัญญาฉบับเดียวกัน บุริมสิทธิของผู้ร้องและบุริมสิทธิของโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากที่ดินจำนองพิพาทตามคำพิพากษาของตนรวมกันได้ไม่เกินวงเงินจำนอง ผู้ร้องไม่อาจยึดที่ดินจำนองพิพาทได้อีกเพราะตกอยู่ในบังคับข้อห้ามมิให้ยึดซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคหนึ่ง และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ของตนในคดีอื่นได้จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายสนับสนุน เช่น การขอเฉลี่ยทรัพย์หรือการขอรับชำระหนี้จำนองหรือบุริมสิทธิ โดยการยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้จำนองตามคำพิพากษาจากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทร่วมกับโจทก์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 3,069,412.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ผิดนัดหรือชำระไม่ครบ ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 87516 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่จนครบ จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 24553/2540 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันกับพวกชำระเงินจำนวน 2,093,097.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 87516 พร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระจนครบ แต่จำเลยในคดีดังกล่าวไม่เคยชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้จำนองและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะบังคับการชำระหนี้เอาจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ในคดีนี้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งอาจบังคับได้ ขอให้มีคำสั่งให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอแล้ว มีคำสั่งยกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์และผู้ร้องเป็นนิติบุคคลเดียวกัน จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 87516 ตำบลหัวหมาก (หัวหมากฝั่งใต้) อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้สินทุกประเภทที่มีต่อโจทก์ (ผู้ร้อง) ต่อมาโจทก์และผู้ร้องได้แยกฟ้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ในมูลหนี้ต่างรายกัน และบังคับจำนองเป็น 2 คดี ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ และในคดีหมายเลขแดงที่ 24553/2540 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ ซึ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันกับพวกชำระหนี้แก่โจทก์และผู้ร้อง หากผิดนัดไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 87516 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ชำระจนครบทั้งสองคดี มีปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า มีเหตุที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 24553/2540 ของศาลชั้นต้น จากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทในคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์และผู้ร้องได้ฟ้องบังคับชำระหนี้ต่างรายกันและขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยหนังสือสัญญาจำนองฉบับเดียวกันแก่ที่ดินพิพาทเป็นคนละคดีกัน แม้ผู้ร้องกับโจทก์เป็นนิติบุคคลเดียวกัน แต่ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งและเป็นเจ้าหนี้ต่างรายกับโจทก์ในคดีนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง และเมื่อเป็นการจำนองโดยหนังสือสัญญาฉบับเดียวกัน บุริมสิทธิของผู้ร้องและบุริมสิทธิของโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากที่ดินจำนองพิพาทตามคำพิพากษาของตนรวมกันได้ไม่เกินวงเงินจำนอง แม้สิทธิของผู้ร้องมิใช่เป็นสิทธิที่จะขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ตนก่อนโจทก์ในคดีนี้ตามความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคหนึ่ง ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยก็ตาม แต่ผู้ร้องไม่อาจยึดที่ดินจำนองพิพาทได้อีกเพราะที่ดินจำนองพิพาทของจำเลยที่ 2 ตกอยู่ในบังคับข้อต้องห้ามมิให้ยึดซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง และการที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหนึ่งจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของตนในคดีอื่นซึ่งตนมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายสนับสนุนให้กระทำได้ดังเช่น การขอเฉลี่ยทรัพย์ หรือการขอรับชำระหนี้จำนองหรือบุริมสิทธิ โดยการยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้จำนองตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 24553/2540 จากเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทในคดีนี้ได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 24553/2540 ของศาลชั้นต้น จากเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายที่ดินจำนองพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ร่วมกับโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนวนไม่เกินวงเงินที่จำนอง

Share