แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การสละมรดกก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมย่อมเสียไปและไม่มีทางแสดงเจตนาให้สัญญานั้นกลับมีผลขึ้นได้อีกอย่างไรฉะนั้น ถ้าเจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้ว ทายาทยังมีความตั้งใจสละมรดกอยู่เช่นเดิม ก็ต้องมีการแสดงเจตนาใหม่ให้ถูกต้องอีกชั้นหนึ่ง
โจทก์และจำเลยต่างเป็นทายาท เมื่อจำเลยไม่ยอมแบ่งที่พิพาทให้ โจทก์ย่อมฟ้องเรียกให้แบ่งได้และมีผลเท่ากับขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกของจำเลยอยู่ในตัว โดยโจทก์ไม่จำต้องขอให้เพิกถอนทะเบียนอย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายโลมเมื่อนายโลมตายแล้ว โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือตกลงแบ่งมรดกของนายโลมคนละครึ่ง แต่ต่อมาจำเลยไม่ยอมแบ่ง ขอให้บังคับ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งสวนพิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อการสละมรดก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมเป็นการขัดกันมาตรา 1619 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้วการสละมรดกของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมย่อมเสียไป และไม่มีทางแสดงเจตนาให้สัญญานี้กลับมีผลขึ้นได้อีกอย่างไร ถ้าหากภายหลังที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ยังมีความตั้งใจสละมรดกอยู่เช่นเดิม ก็ต้องมีการแสดงเจตนาใหม่ให้ถูกต้องตามวิธีการตามมาตรา 1612อีกชั้นหนึ่ง จึงจะผูกพันโจทก์ ฎีกาจำเลยข้อนี้ไม่มีเหตุผลที่จะฟังได้
ตามฎีกาข้อ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนการรับมรดกที่พิพาทของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องมรดกรายนี้นั้น เห็นว่า การจดทะเบียนรับมรดกก็เป็นการอ้างสิทธิในทรัพย์มรดกเมื่อจำเลยมิได้เป็นผู้มีสิทธิในที่พิพาทอันเป็นมรดกแต่ผู้เดียวทั้งหมด ลำพังการจดทะเบียนรับมรดกที่พิพาทของจำเลยหาทำให้เกิดสิทธิในที่พิพาททั้งหมดอย่างใดไม่ เมื่อจำเลยไม่ยอมแบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์ตามสิทธิในการรับมรดกของโจทก์ โจทก์ย่อมฟ้องเรียกให้แบ่งที่พิพาทนั้นได้และมีผลเท่ากับขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกของจำเลยอยู่ในตัว ฎีกาจำเลยข้อนี้ตกไปเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน