แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่โจทก์อุทธรณ์ฉะเพาะข้อกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น ถ้าหากว่าข้อเท็จจริงที่ฟังมานั้นปราศจากหลักฐานในสำนวนสนับสนุน
ในกรณีที่ไม่มีการสืบพะยานโจทก์และไม่ปรากฎว่าศาลสังงดนั้น ถ้าหากว่าข้อที่จะสืบนั้นจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยแล้ว ศาลสูงไม่ควรย้อนสำนวนไปให้สืบพะยาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าว่าจำเลยมีฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตและก่อนคดีนี้เคยต้องโทษฐานเล่นการพะนันมาแล้วครั้งหนึ่ง ศาลปรับ ๓๐ บาทพ้นโทษมายังไม่เกิน ๕ ปี ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ฝิ่น พ.ศ.๒๔๓๒ม.๕๓ พ.ร.บ.ฝิ่น(ฉะบับที่ ๔)พ.ศ. ๒๔๘๑ ม.๖ กฎหมายอาญามาตรา ๗๒
จำเลยให้การรับว่า ได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตาม พ.ร.บ.ฝิ่น แต่ข้อที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามกฎหมายอาญามาตรา ม.๗๒ เห็นว่าเพิ่มไม่ได้เพราะ พ.ร.บ.ฝิ่นมีบทเพิ่มโทษพิเศษในมาตรา ๖๘ ว่าจำเลยเคยทำผิด พ.ร.บ.ฝิ่นไม่เกิน ๓ ปี แต่คดีนี้จำเลยเคยทำผิด พ.ร.บ. การพะนันพ้นโทษไม่เกิน ๕ ปี ถ้าจะแปลว่าเพิ่มมาตรา ๖๘ ไม่ได้ ก็เพิ่มตาม กฎหมายอาญามาตรา ๗๒ ได้จะเป็นผลร้ายแก่จำเลย จึงยกคำขอข้อนี้เสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศษลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อจำเลยให้การรับว่าทำผิดตามฟ้องไม่ได้รับข้อที่เคยต้องโทษและพ้นโทษ ก็เพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ จึงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การจำเลยนั้น จำเลยมิได้รับในข้อต้องโทษและพ้นโทษ โดยรับแต่เพียงว่าได้ทำผิดตามฟ้องเท่านั้น เป็นหน้าที่โจทก์ต้องสืบในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ เมื่อโจทก์ไม่สืบก็ไม่มีข้อเท็จจริงในสำนวน แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไปทางอื่นและโจทก์อุทธรณ์ฉะเพาะข้อที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยก็ดีศาลอุทธรณหาจำเป็นต้องฟังข้อเท็จ จริงตามศาลชั้นต้นไม เมื่อข้อเท็จจริงนั้นปราศจากกลักฐานในสำนวน อนึ่งการที่ศาลอุทธรณ์จะสืบพะยานเองหรือส่งสำนวนไปสืบตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๐๘ นั้นเล่าก็อยู่ในดุลยพินิจของศาล ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ควรย้อนสำนวนไปสืบเพราะเป็นผลร้ายแกจำเลยและในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์เองมิได้ขอสืบพะยานโจทก์แต่อย่างใด จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์