แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีภรรยาอยู่กินกันมาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสระหว่างอยู่กินด้วยกันได้เอาเงินที่ทำมาหาได้ด้วยกันซื้อที่ดินมือเปล่าไว้ทำกินร่วมกัน ต่อมาเลิกเป็นสามีภรรยากัน ภรรยาขอให้แบ่งที่ดินนี้ให้ครึ่งหนึ่ง สามีไม่ยอมแบ่งให้ และสามีเป็นฝ่ายครอบครองทำกินแต่ฝ่ายเดียวหลังจากเลิกเป็นสามีภรรยากัน ดังนี้ เมื่อภรรยาจะฟ้องขอแบ่งเอาที่ดินนั้น ก็ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่ทราบการที่สามีปฏิเสธไม่ยองแบ่งให้ เพราะการที่สามีปฏิเสธไม่ยอมแบ่งให้นั้น ย่อมเห็นได้ว่า สามีไม่ได้ปกครองที่ดินแทนภรรยาด้วย
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากันมา ๑๐ ปีเศษ แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกันได้ซื้อที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญจากนายช่วย โดยซื้อด้วยเงินที่ทำมาหาได้ด้วยกัน ก่อนฟ้องคดีนี้ประมาณหนึ่งปีเศษ โจทก์จำเลยเลิกจากการเป็นสามีภรรยา ได้แยกกันอยู่ โจทก์ได้ขอให้จำเลยแบ่งปันทรัพย์ สำหรับที่พิพาทนี้ขอให้แบ่งโจทก์ครึ่งหนึ่ง แต่จำเลยไม่ยอม คงครอบครองทำกินฝ่ายเดียวตลอดมา โจทก์จึงไปร้องต่ออำเภอ จำเลยก็ยังไม่ยอมแบ่ง
ในปัญหาเรื่องอายุความฟ้องร้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยแบ่งที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงอายุฟ้องร้อง ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ซึ่งให้มีกำหนด ๑๐ ปี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นับแต่จำเลยไม่ยอมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๐๑ ตามสำเนาบันทึกการแบ่งทรัพย์ (ของอำเภอ) จนถึงวันโจทก์ฟ้องเป็นเวลาเกิน ๑ ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๔ วรรคท้าย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสำเนาบันทึกเรื่องแบ่งทรัพย์ลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๐๑ ข้อ ๓ ใจความว่า ทางอำเภอไกล่เกลี่ย แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า และจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำกินแต่ฝ่ายเดียวหลังจากที่ได้แยกอยู่กินกับโจทก์มากกว่า ๑ ปี และเมื่อโจทก์ทราบการที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๐๑ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้ปกครองที่พิพาทแทนโจทก์แต่อย่างใด สิทธิครอบครองของโจทก์ซึ่งเคยมีมาแต่ก่อนได้ถูกจำเลยปฏิเสธไม่ยอมแบ่ง โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยภายในอายุความ ๑ ปี แต่โจทก์ฟ้องเมื่อเกิน ๑ ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ
พิพากษายืน