แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแรก โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งมอบสถานที่เช่าคืน คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์โจทก์มาฟ้องคดีหลังเรียกค่าเสียหาย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุที่จำเลยไม่ส่งมอบสถานที่เช่าคืน เช่นนี้ คดีหลังต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องได้อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 (1) (คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด)
ส่วนในคดีหลัง ข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินทุนที่โจทก์ออกทดรองไปก่อนในการก่อสร้าง แม้ข้อตกลงข้อนี้จะปรากฏอยู่ในสัญญาเช่าฉบับเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ฟ้องคดีหลังก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะหนังสือสัญญาฉบับนี้แบ่งแยกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาออกได้เป็นส่วน ๆ มีลักษณะเป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2503)
ย่อยาว
ในคดีก่อน โจทก์ฟ้องต่อศาลแขวงพระนครใต้ว่า จำเลยผิดสัญญาเช่าที่ดินโจทก์บอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่ให้จำเลยส่งมอบสถานที่เช่าคืน (และกล่าวสงวนสิทธิไว้ในคำฟ้องว่า จะฟ้องเรียกค่าเสียหายและเงินทุนที่ให้ทดรองไปปลูกสร้างอาคารคืนที่หลัง) ศาลแขวงพระนครไต้พิพากษาให้จำเลยส่งมอบที่เช่าคืนคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ทุเลาการบังคับคดี โจทก์ถือว่า ก่อนที่จำเลยมอบสถานที่เช่าคืน จำเลยอยู่ในที่เช่าโดยฐานละเมิด โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหายและเงินทุนที่โจทก์จ่ายทดรองไปในการปลูกสร้างอาคารตามสัญญา ฉบับเดียวกันนั้น
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องซ้ำ แม้โจทก์จะสงวนสิทธิ์ในคำฟ้องคดีก่อนว่า จะฟ้องเรียกค่าเสียหายและเงินทุนที่จ่ายทดรองในการก่อสร้างภายหลัง ศาลแขวงพระนครใต้ก็มิได้พิพากษาให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องใหม่ โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ไม่มีสิทธิเรียกเงินทดรองที่ค้าง
ศาลแพ่งสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย และเรียกเงินคืนในเรื่องนี้ก็รวมอยู่ในเหตุฟ้องร้องอันเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องเลิกสัญญาเช่าในคดีก่อน และศาลไม่ได้สั่งให้สิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ คู่ความในคดีเป็นคู่ความเดียวกัน และถือเป็นคดีเรื่องเดียวกัน แต่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ กฎหมายห้ามไม่ให้ยื่นฟ้อง เรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือศาลอื่น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๓ (๑) แม้จำเลยจะยก ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ ขึ้นต่อสู้ ไม่ได้ยก มาตรา ๑๗๓ (๑) แต่เป็นเรื่องอำนาจฟ้องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ เพราะคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด ทั้งคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินเป็นคนละเรื่องกับคดีเดิม ซึ่งเป็นเรื่องฟ้องขับไล่ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๗๒ (๑) พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายในอัตราค่าเช่าและค่าเสียหายพิเศษตั้งแต่บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วนั้น เป็นเรื่องเดียวกันกับการที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้จำเลยส่งมอบสถานที่เช่าคืน เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุที่จำเลยไม่ส่งมอบสถานที่เช่าคืน อันทำให้โจทก์ต้องฟ้องร้องนั่นเอง จึงชอบที่โจทก์จะได้ฟ้องขอให้บังคับเอาแก่จำเลยเสียในคราวเดียวกัน กับที่ฟ้องขอให้ส่งมอบสถานที่เช่าคืน โจทก์จะแบ่งแยกฟ้องในคดีในมูลอันเดียวกันทีละส่วนทีละตอนหาได้ไม่ การที่โจทก์ว่าได้สงวนสิทธิ์ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายไว้ในคำฟ้องคดีเดิมนั้น กฎหมายไม่เปิดช่องให้กระทำเช่นนั้น และศาลแขวงพระนครใต้ก็หาได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ไม่ ศาลจึงเห็นว่า เฉพาะในฟ้องของโจทก์ข้อที่กล่าวมานี้ ต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องได้อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๒ (๑) (คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด)
แต่ฟ้องอีกข้อหนึ่งที่บรรยายมาว่า ผู้ให้เช่าคือ โจทก์ ได้ออกเงินทดรองให้จำเลยก่อน จำเลยสัญญาจะจ่ายเงินคืนเป็นคราว ๆ เป็นรายเดือนใน ๑๐ ปี จำเลยยังค้างชำระเงินทุนที่โจทก์ออกทดรองไปก่อนนี้อยู่อีก จึงขอให้บังคับใช้นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์ดูหนังสือสัญญาเช่าแล้ว ปรากฏว่าหนังสือสัญญาฉบับนี้แบ่งแยกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาออกได้เป็นส่วน ๆ กัน ศาลฎีกาจึงเห็นว่า แม้ข้อตกลงเรื่องการออกเงินทดรองปลูกสร้างอาคารนี้จะอยู่ในสัญญาฉบับเดียวกัน กับเรื่องให้เช่าที่ดิน ก็ยังมีลักษณะเป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน ศาลฎีกาจึงได้มีมติโดยประชุมใหญ่ว่า ฟ้องของโจทก์ในข้อที่เรียกเงินค่าปลูกสร้างอาคารนี้ ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
พิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์ในข้อเรียกค่าเสียหาย เป็นฟ้องต้องห้าม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๓ (๑) แต่ฟ้องของโจทก์ ในข้อเรียกเงินทดรองค่าปลูกสร้างอาคารคืน ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาเฉพาะในข้อนี้ต่อไปตามกระบวนความ