คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้ฟ้องจ.และป.ภริยาเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาภายในระยะเวลา1ปีนับแต่บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จ. ให้การปฏิเสธและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนถือได้ว่าเป็นการฟ้องเอาคืนการครอบครองการที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยในคดีก่อน(จ.และป.)ในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดจำเลยย่อมไม่อาจยกการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างยันสิทธิครอบครองของโจทก์โจทก์จึงหาขาดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวรวมทั้งให้รื้อถอนรั้วออกจากที่ดินโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินจำเลยเป็นของนางปิติพร พิชัยวัฒนพงศ์ ต่อมาขายให้นายธำรงศักดิ์ เวทย์พิทยาคมและนายธำรงศักดิ์ขายให้แก่จำเลย ได้ปลูกมันสำปะหลังบนที่ดินมาตลอด จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ให้ขับไล่โจทก์และบริวารพร้อมทั้งให้รื้อถอนหลักหิน หลักไม้ ป้ายชื่อ “สวนกัปตันจรูญ” และสิ่งก่อสร้างอื่นออกไปจากที่ดินจำเลย ให้โจทก์ชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยเป็นเงิน 700,000 บาท และเป็นรายปี ๆ ละ 700,000 บาทนับแต่วันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนหลักหินหลักไม้ ป้ายและสิ่งปลูกสร้างอื่นออกไปจากที่ดิน
โจทก์ให้การฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งและบังคับตามฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทบริเวณเส้นสีม่วงในแผนที่สังเขป เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 2ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เป็นของโจทก์ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดินโจทก์ยกฟ้องแย้ง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ฟ้องนายจิระวัฒน์และนางปิติพรภรรยาเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท โดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ นายจิระวัฒน์ให้การปฏิเสธและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน กรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฟ้องเอาคืนการครอบครอง การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยในคดีก่อนในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดจำเลยย่อมไม่อาจยกการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างยันสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงหาขาดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและไม่อาจฟ้องเรียกร้องเอาคืนดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาไม่”
พิพากษายืน

Share