แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความตกลงให้สืบพยานร่วม และถ้าพยานเบิกความอย่างหนึ่งโจทก์ยอมแพ้ ถ้าเบิกความอีกอย่างหนึ่งจำเลยยอมแพ้ ศาลย่อมวินิจฉัยคำพยานได้ว่าเบิกความสมข้างฝ่ายใด และพิพากษาคดีไปตามคำท้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินสวนยางรายพิพาทและนอกพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง มีราคา 10,000 บาท เฉพาะที่รายพิพาทราคาประมาณ 1,500 บาท อยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหารโพธิ์ อำเภอเขาไชยสน จังหวัดพัทลุงเป็นของโจทก์ ซื้อจากนางไหม สอนสุข เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2493 ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ 3/10 โจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาจนบัดนี้ จำเลยได้อาศัยนางไหมอยู่ในที่รายพิพาทมาก่อน เมื่อนางไหมขายให้โจทก์แล้ว จำเลยก็ขออาศัยโจทก์ปลูกเรือนอยู่ต่อมา
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2498 โจทก์ให้คนงานขุดดินปลูกซ่อมต้นยาง จำเลยฝให้นายวัน ผู้ใหญ่บ้านว่ากล่าวโดยอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนเรือนโรงและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย มีเนื้อที่ 21 ไร่ ราคา 4,000 บาท จำเลยได้มาโดยแบ่งซื้อจากนางไหม และครอบครองมาโดยปลูกเรือนอยู่อาศัยและทำนาทำสวนตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 8 ปี แล้ว จำเลยไม่เคยขออาศัยนางไหมหรือโจทก์
คู่ความตกลงกันขออ้างนายภู่หรือวิสุทธิ์ สุขุมิศร์ เสมียนมหาดไทย อำเภอเขาไชยสน ซึ่งเป็นผู้ไปรังวัดที่ดินแปลงที่นางไหมขายให้โจทก์และนายชื่น ทองศิริ ปลัดอำเภอเขาไชยสน ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินฉบับที่ 3/10 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2493 เป็นพยานร่วมขอให้ถือคำเบิกความของนายภู่ หรือ วิสุทธิ์ และนายชื่นประกอบกับพยานเอกสารซึ่งโจทก์จำเลยอ้างเป็นข้อแพ้ชนะกันหากได้ความจากคำเบิกความของพยานร่วมทั้งสองประกอบกับพยานเอกสารว่า ในการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนางไหมนั้น นางไหมได้ขายที่ดินพิพาทและนอกพิพาทให้โจทก์เป็นเนื้อที่ 49 ไร่เศษและนายภู่ หรือวิสุทธิ์ พยานได้รังวัดที่ดินที่ซื้อขายกันเต็มทั้งแปลง คือภายในเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่กลางรวมทั้งที่พิพาทด้วยและในวันทำสัญญาซื้อขายนั้น นางไหมได้รับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ต่อหน้านายชื่น พยานผู้เป็นเจ้าพนักงาน ผู้ทำสัญญาแล้วจำเลยยอมแพ้คดีโจทก์ไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป หากได้ความจากคำเบิกความของพยานร่วมทั้งสองประกอบพยานเอกสารว่า นางไหมขายที่ดินให้โจทก์เพียง 28 ไร่เศษ และนายภู่ หรือ วิสุทธิ์ ไม่ได้รังวัดถึงที่ดินพิพาทหมายสีแดงตามแผนที่กลางและนางไหมผู้ขายไม่ได้รับเงินค่าที่ดินต่อหน้านายชื่นพยานแล้ว โจทก์ยอมแพ้คดีจำเลยไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์จำเลยนำสืบตามที่ตกลงท้ากัน
นายภู่เบิกความว่า เดิมนายฟูหว้าสามีนางไหมร้องขอขายที่ดินให้โจทก์ 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ นายชื่นปลัดอำเภอสั่งพยานออกไปรังวัดชันสูตรที่ดิน นายฟูหว้าเป็นผู้นำรังวัด รังวัดแล้วได้บันทึกไว้ในตอนท้ายคำร้องของนายฟูหว้า คือเอกสารหมาย ล.รังวัดได้เนื้อที่ 29 ไร่เศษ รังวัดเพียงแค่คูน้ำไม่ถึงที่ดินของจำเลย แต่เมื่อรังวัดที่ดินจะซื้อขายกันแล้ว จำเลยได้ขอร้องให้ช่วยรังวัดที่ดินของจำเลยด้วย พยานก็รังวัดให้เป็นพิเศษ แต่มิได้บันทึกไว้ รังวัดแล้วได้เสนอนายชื่น นายชื่นสั่งออกประกาศโฆษณา(เอกสารหมาย ล.2) ต่อมาทราบว่าจำเลยไปคัดค้าน นายชื่นจะเปรียบเทียบอย่างไร พยานไม่ทราบ ต่อมานายชื่นได้ทำสัญญาซื้อขายให้โจทก์และนางไหม เพราะนายฟูหว้าเป็นคนต่างด้าวจึงให้นางไหมภรรยาทำสัญญาแทน
นายชื่น พยานเบิกความว่าพยานเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายหมาย ล.1 ให้โจทก์และนางไหม นางไหมได้รับเงินค่าที่ดิน 4,000 บาท ต่อหน้าพยานก่อนทำสัญญา จำเลยมาร้องคัดค้านขออย่าให้ทำสัญญาซื้อขายให้นางไหม เพราะนางไหมเป็นหนี้เงินอยู่ ผลที่สุดนางไหมยอมชำระเงินประมาณ 100 บาท ให้จำเลย จำเลยจึงถอนคำคัดค้านไป
ได้ความเช่นนี้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คำพยานร่วมประกอบพยานเอกสารที่โจทก์จำเลยอ้าง ฟังได้ว่านายภู่รังวัดที่ดินซึ่งนางไหมขายให้โจทก์กินถึงที่พิพาทในคดีนี้ด้วย สมคำท้าของโจทก์ไม่สมคำท้าของจำเลย พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำท้า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยฎีกาขึ้นมามีใจความว่า คดีนี้ ข้อที่ท้ากันมี 2 ประเด็นคือการรังวัดที่พิพาทเมื่อคราวซื้อขายกันได้รังวัดติดที่พิพาทหรือไม่ และผู้ขายได้รับเงินถูกต้องหรือไม่ ประเด็นข้อแรกนายภู่เบิกความสมจำเลยว่า ไม่ได้รังวัดถึงที่พิพาท ประเด็นข้อ 2 นายชื่นเบิกความสมโจทก์ว่าผู้ขายได้รับเงินถูกต้อง เช่นนี้ ศาลจะพิพากษาไปทีเดียวไม่ได้ ควรจะฟังพยานอื่นต่อไปให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่
พิจารณาเห็นว่า ถ้อยคำที่คู่ความแถลงต่อศาลนั้นมีว่า ให้ถือเอาคำเบิกความของนายภู่ และนายชื่นประกอบกับพยานเอกสารซึ่งคู่ความอ้างเป็นข้อแพ้ชนะ ฯลฯ ฉะนั้น เมื่อคนทั้งสองเบิกความดังกล่าวแต่ต้นศาลวินิจฉัยถ้อยคำพยานประกอบเอกสารที่คู่ความอ้างแล้วฟังว่าถ้อยคำพยานหลักฐานสมข้างฝ่ายโจทก์ก็เป็นการถูกต้อง ตามกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว เพราะศาลวินิจฉัยคำพยานบุคคลประกอบกับพยานเอกสารดังคำท้าคู่ความ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
เหตุนี้จึงพิพากษายืนให้ยกฎีกา ให้จำเลยเสียค่าทนาย 75 บาทแก่โจทก์