คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การคำนวณค่าปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 นั้น ต้องถือเอาราคาของในท้องตลาดอันเป็นราคาที่แท้จริงและรวมค่าอากรเข้าด้วย เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ
การลักลอบนำข้าวออกนอกประเทศเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2490 มาตรา 3 กับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เท่ากัน แต่การกระทำฐานพยายามนั้นพระราชบัญญัติศุลกากรถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 27 เสมือนกับเป็นความผิดสำเร็จลงโทษจำคุกได้ถึง 10 ปี แต่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ ลงโทษได้เพียง 2 ใน 3 จำคุกได้อย่างสูง 6 ปี 8 เดือนจึงต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90(อ้างฎีกาที่ 1027/2504)
การกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรนั้น ศาลต้องนำพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ.2489 มาใช้บังคับในการสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับ
จำเลยทั้ง 3 พยายามนำข้าวออกนอกประเทศ ข้าวสารเป็นของจำเลยที่ 2 จำนวน 6 กระสอบ เป็นของจำเลยที่ 3 จำนวน 6 กระสอบจำเลยที่ 2,3 ไม่ได้สมคบกันส่วนจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2,3ดังนี้ เมื่อค่าปรับทั้งหมด 8,002.56 บาท จึงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4,001.28 บาท จำเลยที่ 2,3 คนละ 2,000.64บาท จำเลยที่ 2,3 รับสารภาพลดกึ่ง คงปรับคนละ1,000.32 บาท
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 32 บัญญัติว่าเรือ…รถ…หากใช้ในการย้าย ถอน ซ่อนเร้น หรือขนของที่ยังมิได้เสียภาษี…ให้ริบเสียสิ้น นั้น หากเจ้าของมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำผิดแล้ว ศาลไม่ริบ(อ้างฎีกาที่ 193/2491) ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวนข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าเจ้าของรถยนต์ของกลางรู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำหรือไม่อัยการโจทก์ก็ค้านอยู่ว่ารู้เห็นเป็นใจ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 3 สมคบกันลักลอบนำข้าวสารเจ้า 12 กระสอบ หนัก 1,200 กิโลกรัม ราคา 3,927.60 บาท เป็นสินค้าต้องห้ามต้องควบคุม และมีพระราชกฤษฎีกากำหนดควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรบรรทุกรถยนต์เลขทะเบียน อ.บ.00484 จากท้องที่อำเภอพิบูลมังษาหารจะออกไปเมืองเก่าหรือเมืองปากเซ ประเทศลาว โดยมิได้รับอนุญาตและเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่จะต้องเสีย 164.96 บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง พ.ศ. 2482 มาตรา 3, 4, 9 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรฯ ซึ่งสินค้า บางอย่าง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27, 34 (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482มาตรา 17 (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7, 8, 9 ริบข้าวสารรถยนต์ของกลางและจ่ายรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมาย

จำเลยที่ 1 ปฏิเสธ

จำเลยที่ 2, 3 รับสารภาพ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2, 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2, 3 ต่างทำผิดมิได้สมคบกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็น 2 กรรม เป็นผิดหลายกระทง ราคาข้าวสารของกลางกระสอบละ 160 บาท พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามผิดพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2482 มาตรา 3, 4, 9 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 34 ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ พ.ศ. 2482 มาตรา 9 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ซึ่งเป็นบทหนัก ลงโทษจำเลยที่ 1 กระทงเดียว โดยปรับจำเลยคนละ 4,800 บาท จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยที่ 2, 3 รับสารภาพ ลดกึ่งตามมาตรา 78 คงปรับคนละ 2,400 บาท จำคุกคนละ 3 เดือน รอการลงโทษจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี จำเลยที่ 2, 3 เป็นหญิง ยกโทษจำคุกเสีย ริบข้าวสารและรถยนต์ของกลาง ให้จ่ายรางวัลแก่ผู้จับ 4 ใน 5 ส่วนของเงินค่าปรับ

นายทองคำ บุญดาว ร้องว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง ไม่รู้เห็นเป็นใจที่จำเลยนำรถไปทำผิด ขอศาลสั่งคืนแก่ผู้ร้อง

โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจ คำร้องเคลือบคลุม ผู้ร้องอาจขอคืนต่อพนักงานสอบสวนเกิน 60 วันนับแต่วันยึด ตามกฎหมายถือว่าไม่มีเจ้าของ ตกเป็นของแผ่นดิน

ศาลชั้นต้นสั่งว่า แม้จะได้ความว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดหรือไม่ก็ดี เป็นสิ่งพึงริบตามนัยแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 9 ให้ยกคำร้อง

โจทก์และผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทำผิดดังศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่เป็นเพียงฐานพยายามพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ลงโทษ 2 กระทง ปรับ 9,600 บาท จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2, 3 ลงกระทงเดียว ปรับคนละ 4,800 บาท จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสามผิดฐานพยายามลงโทษ 2 ใน 3 คงปรับจำเลยที่ 1 6,400 บาท จำคุก 4 เดือน รอการลงโทษ จำคุก จำเลยที่ 2, 3 ปรับคนละ 3,200 บาท จำคุกคนละ 4 เดือนลดกึ่งปรับคนละ 1,600 บาท จำคุกคนละ 2 เดือน ยกโทษจำคุก ยกอุทธรณ์นายทองคำผู้ร้อง

โจทก์และผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาแล้วได้ความว่า จำเลยนำข้าวสารบรรทุกรถยนต์อ.บ.00484 (ผู้ร้องอ้างว่าเป็นของตน) จะออกไปเมืองปากเซหรือเมืองเก่า ประเทศลาว โดยมิได้รับอนุญาต เจตนาหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรซึ่งจะต้องเสียร้อยละ 4.2 เป็นเงิน 164.96 บาท เจ้าพนักงานจับได้ก่อนนำออกนอกประเทศ เป็นของนางจันทร์จำเลยที่ 2 ภรรยาจำเลยที่ 1 จำนวน 6 กระสอบเป็นของนางอนงค์จำเลยที่ 3 จำนวน 6 กระสอบจำเลยที่ 2, 3 มิได้สมคบกัน ส่วนจำเลยที่ 1 ร่วมสมคบกับจำเลยที่ 2, 3 ข้าวสาร 12 กระสอบนี้กรมศุลกากรประเมินกระสอบละ 300 บาทเศษรวม 12 กระสอบเป็นเงิน 3,927.60 บาท แต่ทางพิจารณาได้ความว่าราคาในท้องตลาดกระสอบละ 160 บาท ศาลล่างถือราคาท้องตลาดเป็นราคาแท้จริงเป็นหลักในการคำนวณค่าปรับ

โจทก์ฎีกาว่า ต้องถือเอาราคาที่กรมศุลกากรประเมินเป็นหลักในการคำนวณค่าปรับ และต้องเอาอากรมาบวกรวมในการคำนวณด้วยศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรา 27 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 แก้ไขโดยฉบับที่ 11 มาตรา 3 ว่า สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วและมาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 บัญญัติเกี่ยวกับราคาว่า “คำว่า ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด หรือราคาแห่งของอย่างใดนั้น หมายความว่า ราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุนณ เวลา และที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี โดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด” ดังนี้ เห็นว่าการคำนวณค่าปรับก็ต้องถือเอาราคาในท้องตลาดอันเป็นราคาที่แท้จริง คือ ราคากระสอบละ160 บาท 12 กระสอบเป็นเงิน 1,920 บาท กับค่าอากรอีกร้อยละ 4.2 เป็นเงิน 80.64 บาท รวมเป็นเงิน 2,000 บาท 64 สตางค์ ปรับ 4 เท่าเป็นเงิน 8,002.56 บาท

โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง และผิดพระราชบัญญัติศุลกากรด้วย ต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรซึ่งเป็นบทหนัก ศาลฎีกาเห็นว่าในกรณีความผิดต้องตามกฎหมาย 2พระราชบัญญัติดังกล่าว ความผิดฐานนำข้าวออกนอกประเทศตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอก และนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 5 เท่าของราคาสินค้า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงฐานพยายามลงโทษได้เพียง 2 ใน 3 ส่วนโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำการกระทำของจำเลยในคดีนี้ตามพระราชบัญญัติศุลกากรถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 27 เสมือนกับเป็นความผิดสำเร็จ ถ้าหากศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยก็ลงได้ถึง 10 ปี แต่ความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอก และการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างนั้นการกระทำของจำเลยคดีนี้เป็นความผิดฐานพยายามศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยได้อย่างสูงเพียง 6 ปี 8 เดือนเท่านั้น จึงเห็นได้ว่าความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มีอัตราโทษหนักกว่า จึงต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ตามแบบอย่างฎีกาที่ 1027/2504

โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรก็ต้องนำพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดพ.ศ. 2489 มาใช้บังคับในการสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับ ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด ให้ใช้บังคับแก่ความผิดซึ่งเกิดขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการศุลกากรด้วย และมาตรา 8 ให้จ่ายสินบนร้อยละ 30 ของราคาของกลางหรือค่าปรับ ให้จ่ายรางวัลร้อยละ 25 ของราคาของกลางหรือค่าปรับในกรณีไม่มีผู้นำจับ ให้จ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมผู้กระทำผิดร้อยละ 20 ของราคาของกลางหรือค่าปรับ ดังนี้ จึงต้องนำพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดมาใช้บังคับในการสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับ คดีนี้ไม่มีผู้นำจับ จึงต้องจ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับเป็นเงินร้อยละ 20 ของราคาของกลาง

ส่วนรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยนำรถไปใช้ในการกระทำผิด ขอให้สั่งคืนแก่ผู้ร้อง วินิจฉัยว่าศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มาตรา 32 บัญญัติว่าเรือชนิดใด ๆ อันมีระวางบรรทุกไม่เกินสองร้อยห้าสิบตันก็ดี รถเกวียนยานพาหนะ หีบหรือภาชนะอื่นใดก็ดี หากใช้ในการ ย้าย ถอน ซ่อนเร้นฤาขนของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี ฤาที่ต้องจำกัด ฤาต้องห้าม ท่านให้ริบเสียสิ้นซึ่งมีแบบอย่างฎีกาที่ 193/2491 มีข้อเท็จจริงว่าเจ้าของรถจักรยานสามล้อให้ผู้อื่นเช่ารถไปแล้วผู้เช่าไปใช้บรรทุกของเพื่อนำออกนอกราชอาณาจักร อันเป็นผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรโดยเจ้าของรถผู้ให้เช่ามิได้รู้เห็น วินิจฉัยว่า เมื่อเจ้าของมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำผิดแล้ว ศาลไม่ริบ คดีนี้ศาลชั้นต้นยังมิได้ทำการไต่สวน ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าเจ้าของรถยนต์ของกลางได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำผิดหรือไม่ และอัยการโจทก์ก็คัดค้านว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

พิพากษาแก้ว่าลงโทษจำเลยทั้ง 3 ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ; (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 17 และ(ฉบับที่ 11)พ.ศ. 2490 มาตรา 3 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือนปรับ 4,001.28 บาท โทษจำคุกรอ 1 ปี จำเลยที่ 2, 3 ให้จำคุกคนละ 3 เดือนปรับคนละ 2,000.64 บาท ลดรับสารภาพคนละกึ่ง คงเหลือจำคุกคนละ 45 วัน ปรับคนละ 1,000 บาท32 สตางค์ โทษจำคุกให้ยกให้จ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับเป็นเงินร้อยละ 20 ของราคาของกลาง ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะข้อให้ริบรถยนต์ของกลางให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีนอกนั้นยืน

Share