คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4635/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดบานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362มีความหมายเป็น 2 ตอน ตอนแรกรบกวนกรรมสิทธิ์ตอนที่สองรบกวนสิทธิครอบครอง โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท แต่โจทก์ยังไม่เคยเข้าไปอยู่อาศัย เนื่องจากตึกทรุดและอยู่ระหว่างที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกต่อศาลแพ่งให้ส่งมอบตึกแถวในสภาพเรียบร้อย แสดงว่าโจทก์ยังไม่ได้รับมอบการครอบครองตึกแถวพิพาท การที่จำเลยที่ 1 นำเสาเข็มและอิฐมอญจำนวนมากไปวางใต้กันสาดตึกแถวจึงเป็นเพียงการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ในทางแพ่งยังไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการเมื่อประมาณวันที่9 กรกฎาคม 2530 เวลากลางวัน และเวลากลางคืนต่อเนื่องกันจนถึงวันฟ้อง จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายกล่าวคือ จำเลยทั้งสามกับคนงานอีกหลายคน โดยการจ้างหรือวานหรือใช้ของจำเลยทั้งสาม ร่วมกันนำเอาเสาเข็มและอิฐมอญจำนวนมากมากองทับถมกันไว้ในบริเวณที่ดินและบ้านของโจทก์ดังกล่าวหลายครั้งหลายคราว ต่างกรรมต่างวาระโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ เมื่อโจทก์ได้แจ้งให้ขนย้ายออกไปจำเลยทั้งสามก็ยังเพิกเฉยเป็นการรบกวนการครอบครองบ้านและที่ดินของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2)(3), 83 และ 84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2ส่วนจำเลยที่ 3 คดีไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 3,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 เดือน และปรับเป็นเงิน 3,000 บาท แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีการกระทำผิดของจำเลยไม่ร้ายแรงนักและไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และโจทก์ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายจึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จากสารบบความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ความผิดบานบุกรุกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 มีความหมายเป็นสองตอนตอนแรกรบกวนกรรมสิทธิ์ตอนที่สองรบกวนสิทธิครอบครองจากข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบมาแม้จะฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท แต่เมื่อพิจารณาสำเนาคำฟ้อง ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกต่อศาลแพ่งให้ส่งมอบตึกแถวให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยประกอบกับที่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าตั้งแต่ตึกแถวพิพาททรุดครั้งแรกจนถึงปัจจุบันโจทก์และภริยาไม่เคยเข้าไปอยู่อาศัยในตึกแถวดังกล่าว จึงแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังไม่ได้รับมอบการครอบครองตึกแถวพิพาทแต่อย่างใด ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 นำเสาเข็มและอิฐมอญจำนวนมากไปวางที่พื้นดินใต้กันสาดตึกแถวพิพาท จึงเป็นเพียงการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งต้องว่ากล่าวกันทางแพ่งกรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะรบกวนกรรมสิทธิ์โดยเข้าไปถือการครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือกระทำการรบกวนการครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1จึงยังไม่เป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 และฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share