แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่งไว้แล้ว แต่หลังจากนั้นเจ้าหนี้ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายนี้อีกและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้เด็ดขาดในคดีนี้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2536 เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากจำนวนเงินที่ขอรับชำระหนี้ได้จนถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2536อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย ไว้เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 100 เจ้าหนี้ได้ฟ้องจำเลยและผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 27 ฉบับ ต่อศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2531 เมื่อนับถึงวันที่ตั๋วสัญญา ใช้เงินแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงินยังไม่พ้น 3 ปี ถือว่าโจทก์ ได้ฟ้องจำเลยภายในอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดี เฉพาะจำเลยชั่วคราว แต่ต่อมาศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษา ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว แก่เจ้าหนี้ หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 27 ฉบับ จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2536 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงินรวม 31,948,672.42 บาทจากกองทรัพย์สินของจำเลย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว เจ้าหนี้รายที่ 11และที่ 13 ถึงที่ 16 รวม 5 ราย โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้ว่าจำเลยถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2530 ในคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.530/2530 ระหว่าง บริษัทสุนทรโลหะกิจ จำกัด โจทก์ บริษัททองคำสมุทร จำกัด จำเลย เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2530 อันเป็นวันที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวในคดีล้มละลายดังกล่าวเป็นต้นไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 31,948,672.42 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 130(8) เต็มตามขอโดยให้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้แต่ละอันดับดังนี้ หนี้อันดับ 1ให้ได้รับชำระหนี้จำนวน 34,931.98 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า หากได้รับชำระหนี้จากนายประชา เล็บนาคและหรือจากนายไพจิตร ศิริประกรและหรือจากนายสมกิจ บัณฑุธรรม ลูกหนี้ร่วมในคดีหมายเลขแดงที่ 7482/2533 แล้วเพียงใด ก็ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น หนี้อันดับ 2 และอันดับ 3 ให้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน1,062,787.74 บาท และ 441,918.86 บาท ตามลำดับ และหนี้อันดับ 4ให้ได้รับชำระหนี้จำนวน 30,409,033.84 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากนายประชา เล็บนาค และหรือจากนายไพจิตรศิริประกร และหรือจากนายสมกิจ บัณฑุธรรม ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 22839/2531 แล้วเพียงใดก็ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน31,948,672.42 บาท ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากจำนวนต้นเงินที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้เด็ดขาดในคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวในคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.530/2530 แต่หลังจากนั้นเจ้าหนี้ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายอีกและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้เด็ดขาดในคดีนี้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2536 เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากจำนวนเงินที่ขอรับชำระหนี้ได้จนถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2536อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 100
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปมีว่าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 27 ฉบับ ขาดอายุความแล้วหรือไม่เห็นว่า เจ้าหนี้ได้ฟ้องจำเลยและผู้ค้ำประกันทั้งสามให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 27 ฉบับ ต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขดำที่ 4020/2531 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2531 เมื่อนับถึงวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงินยังไม่พ้น 3 ปี ถือว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยภายในอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยชั่วคราวแต่ต่อมาศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาให้ผู้ค้ำประกันทั้งสามรับผิดชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวแก่เจ้าหนี้ หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 27 ฉบับ จึงหาขาดอายุความไม่
พิพากษายืน