คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำข้าวผสมกับสารเคมีกำจัดแมลงไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเป็ดของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 จำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกรอไว้มีกำหนด1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุตามฟ้องเป็ดของผู้เสียหายได้ตายอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยจำนวน 7 ตัว นายวรศักดิ์ เจ้าหน้าที่ตรวจสารพิษศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 3 นครราชสีมา ทำการตรวจกระเพาะอาหารเป็ดที่ตายแล้ว พบว่ามีสารเคมีกำจัดแมลง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายเลี้ยงเป็ดไว้จำนวน 10 ตัวปล่อยเลี้ยงไว้ในเวลากลางวัน เป็ดของผู้เสียหายจะไปที่บ้านของจำเลยเป็นประจำเพราะอยู่ติดกันและบ้านของจำเลยมีสระน้ำ วันเกิดเหตุเด็กหญิงแอปเปิ้ลบุตรผู้เสียหายไปช่วยผู้เสียหายเลี้ยงโคที่ทุ่งนาเวลาประมาณ 11 นาฬิกา เด็กหญิงแอปเปิ้ลกลับมาบ้านหุงข้าวไปให้ผู้เสียหาย พบเป็ดตาย 1 ตัว จึงไปบอกผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับเด็กหญิงแอปเปิ้ลกลับมาที่บ้านพบเป็ดตายอีก 6 ตัว อยู่ข้างสระน้ำในบริเวณบ้านของจำเลย ผู้เสียหายไปสอบถามจำเลย จำเลยว่าเอายาเบื่อให้สุนัขกิน ไม่ได้เบื่อเป็ดของผู้เสียหาย เด็กหญิงแอปเปิ้ลเบิกความว่า บ้านจำเลยอยู่ใกล้บ้านผู้เสียหายเช้าวันเกิดเหตุพยานล้างจานถูบ้าน และทำงานบ้านเสร็จแล้วก็ออกไปช่วยผู้เสียหายเลี้ยงโคที่ทุ่งนา ก่อนออกจากบ้านพยานเห็นจำเลยนำข้าวใส่กะละมังสีขาวไปวางไว้ข้างสระน้ำ ต่อมาเวลาประมาณ 11 นาฬิกา พยานกลับบ้านเพื่อหุงข้าว พบเป็ดตาย จึงไปบอกผู้เสียหาย เห็นว่า ผู้เสียหายกับเด็กหญิงแอปเปิ้ลไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลยเชื่อได้ว่าเบิกความไปตามความจริง จึงฟังได้ว่าเช้าวันเกิดเหตุก่อนเป็ดของผู้เสียหายตาย จำเลยได้นำข้าวใส่กะละมังไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำและโจทก์มีนายวรศักดิ์มาเบิกความว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอห้วยแถลงได้ส่งเศษอาหารมาให้ทำการตรวจพิสูจน์ โดยแจ้งว่าเป็นเศษอาหารที่ผ่ามาจากกระเพาะเป็ด เศษอาหารดังกล่าวมีข้าวปะปนอยู่ พยานตรวจเศษอาหารดังกล่าวแล้วปรากฏว่ามีสารเคมีกำจัดแมลง หากเป็ดกินสารเคมีดังกล่าวเข้าไปก็ตายได้ นายวรศักดิ์ไม่เคยรู้จักจำเลย ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลยเช่นกันเชื่อได้ว่าเป็ดของผู้เสียหายตายเพราะกินอาหารที่มีสารเคมีกำจัดแมลงผสมอยู่ แม้โจทก์จะไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยผสมสารเคมีกำจัดแมลงลงไปในข้าวและเป็ดของผู้เสียหายกินข้าวนั้น แต่การที่เป็ดของผู้เสียหายตายอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยหลังจากจำเลยนำข้าวไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำ โดยตรวจพบข้าวและสารเคมีกำจัดแมลงในกระเพาะอาหารของเป็ดที่ตาย เป็นพฤติการณ์เชื่อมโยงให้รับฟังได้ว่า เป็ดตายเพราะกินข้าวผสมสารเคมีกำจัดแมลงที่จำเลยวางไว้ และการที่จำเลยนำข้าวผสมสารเคมีกำจัดแมลงไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเป็ดของผู้เสียหาย ที่จำเลยอ้างว่าในวันเกิดเหตุจำเลยใช้สารเคมีกำจัดแมลงใส่ในหัวปลาทูให้สุนัขของนางบุญมีที่เคยกัดจำเลยกิน สุนัขกินหัวปลาทูไปหมดแล้วแต่ไม่ตายนั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสุนัขของนางบุญมีมาอยู่ที่บ้านของจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share