คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลพลเรือน ศาลพลเรือนได้สั่งรับฟ้องไว้แล้ว ต่อมาความปรากฎว่าจำเลยเป็นทหารประจำการซึ่งควรจะถูกฟ้องต่อศาลทหาร ดังนี้ ศาลพลเรือนย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ตามพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 15 วรรค 2
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2504)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสาร โดยฟ้องต่อศาลจังหวัดพิจิตรๆ รับฟ้องไว้แล้ว ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยแถลงว่าจำเลยรับราชการทหาร ศาลจึงสอบถามไปทางผู้บังคับบัญชาของจำเลยและได้รับตอบว่าจำเลยเป็นทหารประจำการจริง โจทก์แถลงไม่รับรอง และไม่ดำเนินการอย่างไร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และคดีไม่เข้าอยู่ในข้อยกเว้นที่ศาลพลเรือนจะพิจารณาพิพากษาได้ จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๕ วรรค ๒ บัญญัติไว้ชัดอยู่แล้วว่า “เมื่อศาลพลเรือนได้สั่งรับประทับฟ้องไว้แล้ว แม้จะปรากฎตามทางพิจารณาในภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ก็ให้ศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาพิพาษาได้” กรณีนี้ ก็เข้าข่ายเช่นนั้นแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องคำนึงอย่างไรอีกว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารด้วยเงื่อนไขอย่างไร จึงพิพากษาให้ยกพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาต่อไปตามกระบวนความ

Share