แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้รายงานการแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนของผู้อำนวยการสถานพินิจจะมีความสำคัญแก่การพิพากษาคดีมากเนื่องจาก พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 131 บัญญัติว่า ศาลจะลงโทษหรือใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนได้ต่อเมื่อได้รับทราบรายงานดังกล่าว แต่ก็มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของจำเลย ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทั้งปวงเกี่ยวกับจำเลยและของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลซึ่งจำเลยอาศัยอยู่ด้วยหรือบุคคลซึ่งให้การศึกษา ให้ทำการงานหรือมีความเกี่ยวข้องตามมาตรา 115 เข้าสู่สำนวนคดี โดยมาตรา 118 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ศาลจะรับฟังรายงานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามมาตรา 115 ได้ เฉพาะที่มิใช่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกฟ้องโดยไม่ต้องมีพยานบุคคลประกอบได้เพื่อเสนอรายงานและความเห็นต่อศาลเกี่ยวกับการลงโทษ หรือการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแก่จำเลยเท่านั้น ข้อเท็จจริงตามรายงานก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบพยานของคู่ความ จึงไม่สามารถนำมารับฟังในฐานะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังรายงานดังกล่าวแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น จึงมิชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก (ที่ถูก คือมาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83) ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุ 15 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 1 ปี อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 9 (จังหวัดสงขลา) มีกำหนดขั้นต่ำ 8 เดือน ขั้นสูง 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันพิพากษา ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังรายงานการแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนของผู้อำนวยการสถานพินิจเป็นพยานหลักฐานเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้รายงานดังกล่าวจะมีความสำคัญแก่การพิจารณาพิพากษาคดีเนื่องจากพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 131 บัญญัติว่า ศาลจะลงโทษหรือใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนได้ต่อเมื่อได้รับทราบรายงานและความเห็นดังกล่าว แต่ก็มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของจำเลย ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทั้งปวงเกี่ยวกับจำเลยและของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลซึ่งจำเลยอาศัยอยู่ด้วยหรือบุคคลซึ่งให้การศึกษา ให้ทำการงานหรือมีความเกี่ยวข้องตามมาตรา 115 เพื่อให้ศาลนำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ดังกล่าวเข้าสู่สำนวนคดี โดยมาตรา 118 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ศาลจะรับฟังรายงานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามมาตรา 115 ได้เฉพาะที่มิใช่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกฟ้องโดยไม่ต้องมีพยานบุคคลประกอบรายงานนั้นได้ เพื่อเสนอรายงานและความเห็นต่อศาลเกี่ยวกับการลงโทษหรือการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแก่จำเลยเท่านั้น ทั้งข้อเท็จจริงตามรายงานก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบพยานของคู่ความ จึงไม่สามารถนำมารับฟังในฐานะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังรายงานดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อสำนวนขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา โดยโจทก์และจำเลยต่างนำพยานเข้าสืบจนสิ้นกระแสความ เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า จึงเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัย
พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีดาบตำรวจพิศิษฐ์ ผู้จับกุมและพันตำรวจโทกำพล พนักงานสอบสวนเบิกความทำนองเดียวกันว่า ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีคนร้ายร่วมกันขี่รถจักรยานยนต์ที่ถูกลักมา 3 คัน มาจากต่างพื้นที่โดยมาพักที่โรงแรมเพลินใจ จึงนำกำลังเจ้าพนักงานตำรวจนอกเครื่องแบบไปที่โรงแรมดังกล่าว พบรถจักรยานยนต์ 3 คัน มีรอยงัดแงะที่คอรถ และที่รูกุญแจเครื่องยนต์ 1 คัน มีการต่อสายตรง 2 คัน จึงตรวจสอบกับพนักงานโรงแรมทราบว่า ผู้ที่มาพักอยู่ที่ห้องหมายเลขบี 8 จึงไปจับกุม พบจำเลยกับพวกรวม 4 คน ยึดกุญแจรถปลอมที่ใช้สำหรับรถจักรยานยนต์ เมื่อนำไปติดเครื่องรถปรากฏว่าเครื่องติดได้ พวกจำเลยรับว่าได้ให้จำเลยกับพวกรวม 3 คน ขับรถจักรยานยนต์คนละคันจากจังหวัดยะลามาแวะพักที่อำเภอหาดใหญ่ 1 คืน และมาพักที่โรงแรมที่ถูกจับกุมเพื่อจะนำรถไปติดต่อขายอีกทอดหนึ่ง โดยโจทก์มีเพียงบันทึกการจับกุมที่ระบุพฤติการณ์ดังที่เบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของพวกจำเลยที่ซัดทอดว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดด้วย แต่ไม่นำบุคคลเหล่านั้นมาเบิกความเพื่อให้จำเลยได้ซักค้าน ทั้งเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย และไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน จำเลยเองก็ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาว่าไม่ทราบว่าเป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ และมิได้ร่วมกับพวกในการรับของโจร ลำพังเพียงพยานหลักฐานดังกล่าวจึงไม่สามารถนำมารับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง