คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่าย กฎหมายให้ศาลกำหนดค่าสินไหนทดแทนสูงค่ำตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์จำเลยที่ ๑ โดยประมาทเป็นเหตุให้แล่นเข้าชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จึงขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การปฏิเสธ และฟ้องแย้งว่า การที่โจทก์ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ก็เพราะโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ที่ ๑ ขับรถยนต์ของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อ และได้ขับชนรถยนต์ของจำเลยเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่ได้ขับรถโดยประมาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่รถโจทก์จำเลยชนกันเป็นเพราะเคราะห์กรรม ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่สามารถหลบหลีกได้ทันมากกว่าจะเป็นเพราะความประมาทของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พิพากษาให้ยกฟ้อง ของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทอย่างมากของฝ่ายจำเลย ฝ่ายโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายอยู่บ้าง แต่เป็นส่วนน้อย ไม่ควรให้โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์กึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่โจทก์ขอมา
จำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่าย กฎหมายให้ศาลกำหนดค่าสินไหนทดแทนสูงค่ำตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย
ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาฟังได้ว่า ฝ่ายโจทก์ได้นำรถไปจอดหยุดอยู่ทางขวาของถนนในทางโค้งโดยมิได้จุดโคมไฟในเวลาค่ำคืน และจอดขวางถนนเข้าไปเกือบกึ่งกลางถนน ซึ่งเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างมากของฝ่ายโจทก์ อันนับเป็นมูลเหตุก่อให้เกิดความเสียหาย ฝ่ายจำเลยก็ได้ขับรถแล่นมาด้วยอันตราความเร็วสูง จึงเข้าชนรถของโจทก์ ซึ่งเป็นความประมาทของฝ่ายจำเลยในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ ฝ่ายโจทก์ได้รับมากกว่าฝ่ายจำเลย เมื่อใคร่ครวญโดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาท เห็นว่าค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์จำเลยต่างขอมานั้น ควรให้เป็นพับแต่ตน
พิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลย

Share