คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4622/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิมาโดยอำนาจแห่งกฎหมายตั้งแต่เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม ไม่ใช่ต่อมาเมื่อมีทางออกอื่นได้อีกแล้วจะต้องไปใช้ทางใหม่สู่ทางสาธารณะที่ไกลกว่า สะดวกน้อยกว่า และทำความเสียหายให้แก่ที่ดินที่ล้อมอยู่มากกว่า

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 16830, 1491 และ 2062 จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินสองแปลงตามโฉนดเลขที่ 1490และ 1493 ที่ดินของโจทก์ทั้งสามดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสี่ แต่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามตกอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสามและเจ้าของที่ดินแปลงอื่นได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่ โดยเดินผ่านแปลงโฉนดเลขที่ 1493 ทางด้านทิศใต้กว้างประมาณ 1 วายาวประมาณ 65 วา เข้าออกสู่ถนนสาธารณะมาโดยตลอดเป็นเวลา 30 ถึง 40 ปีแล้วโดยไม่มีผู้ใดหวงห้ามและขัดขวางทางดังกล่าวนี้จึงเป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์ทั้งสามต่อมาในปี 2534 จำเลยทั้งสี่ได้ปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวโดยนำเสาปูนไปปิดกั้นทาง ทำให้โจทก์ทั้งสามไม่สามารถออกสู่ถนนสาธารณะได้โดยสะดวก ไม่อาจนำผลิตผลทางเกษตรออกจากสวนสู่ถนนสาธารณะ ไม่อาจขับรถจักรยานยนต์และเข็นรถสาลี่ผ่านทั้งไม่อาจยกเข่งใส่ผลิตผลทางเกษตรขึ้นผ่านเสาปูนที่ปักไว้ได้เนื่องจากเสาสูงท่วมศีรษะเป็นเหตุให้ได้ความเดือดร้อนและทำให้พืชผลทางการเกษตรของโจทก์ทั้งสามเสียหายขอให้พิพากษาว่า ทางผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 1493 ของจำเลยทั้งสี่ทางด้านทิศใต้กว้างประมาณ 1 วา ยาวประมาณ 65 วาเป็นทางจำเป็น ห้ามจำเลยทั้งสี่ปิดกั้นและให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนสิ่งกีดขวางทางออกไปทั้งหมด หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้รื้อถอนสิ่งกีดขวางดังกล่าวได้ โดยให้จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสามมีเส้นทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะถนนสาย 8 ได้อยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่แต่อย่างใดสำหรับทางผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่นั้น แต่เดิมโจทก์ทั้งสามเคยเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1493 จากเจ้าของเดิม และทำสัญญาตกลงกันว่าจะใช้เป็นทางเดินเท้าเข้าออกตามปกติ จะไม่ทำให้เสียหายแก่ที่ดินที่เช่า แต่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยเอาดินลูกรังมาถมในเส้นทางนั้นเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยทั้งสี่ โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยทั้งสี่ได้ ขอให้ยกฟ้องและห้ามไม่ให้โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกในที่ดินของจำเลยทั้งสี่หรือรบกวนสิทธิของจำเลยทั้งสี่ กับให้จำเลยทั้งสี่สามารถปิดทางพิพาทได้โดยตลอด
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสามไม่มีเส้นทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ สำหรับถนนสุขาภิบาลสาย 8อันเป็นทางเส้นอื่นที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าโจทก์ทั้งสามสามารถใช้ผ่านเข้าออกได้นั้น ก็เป็นทางสาธารณะที่โจทก์ทั้งสามจะต้องเดินผ่านที่ดินของผู้อื่นอีกจำนวนหลายรายเป็นระยะทางไกลและไม่สะดวกสำหรับทางที่ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่นั้นเป็นทางที่สะดวกและใกล้ที่สุด ทั้งไม่สร้างความเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสี่แต่อย่างใด ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นที่จำเลยทั้งสี่ไม่อาจปิดกั้นได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 1493เลข 63 ตำบลขุนแก้ว (ท่ามอญ) อำเภอนครชัยศรี (เมือง)จังหวัดนครปฐม (นครไชยศรี) ของจำเลยทั้งสี่ทางด้านทิศใต้กว้างประมาณ 1 วา ยาวตลอดที่ดินประมาณ 65 วาตามเส้นทางหมายเลข 6 ในแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4เป็นทางจำเป็นเพื่อโจทก์ทั้งสามใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะถนนสุขาภิบาลสาย 5 ห้ามจำเลยทั้งสี่ปิดกั้นหรือขัดขวางการใช้ทางดังกล่าวของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนเสาปูนและสิ่งกีดขวางเส้นทางจำเป็นออกไปให้หมดหากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติให้โจทก์ทั้งสามรื้อถอนได้โดยให้จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ เห็นว่าตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4 ที่แสดงอาณาเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสี่ รวมตลอดทั้งเส้นทางรอบที่ดินทั้งสี่ด้าน ซึ่งโจทก์ได้ทำขึ้นและส่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลมานั้นจำเลยทั้งสี่มิได้โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างใดซึ่งโจทก์ทั้งสามต่างเบิกความยืนยันประกอบเอกสารดังกล่าวว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีที่ดินผู้อื่นล้อมรอบอยู่ทุกด้าน ไม่มีด้านใดติดทางสาธารณะเลยจึงเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่ออกสู่ทางสาธารณะถนนสุขาภิบาลสาย 5 จำเลยทั้งสี่ก็มิได้นำสืบหักล้างความข้อนี้ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ยังเบิกความยอมรับว่าทางทิศใต้ของที่ดินที่ซื้อมามีทางเดินจริง เมื่อซื้อมาแล้วก็ยังคงมอบให้โจทก์กับพวกใช้ทางเดินทางทิศใต้ดังกล่าวเพราะเห็นว่ามิได้ทำความเสียหายให้แก่ที่ดินแต่อย่างใด โดยนายสันติ เกษตรสามพราน ผู้ดูแลทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยทั้งสี่และนายแฉล้ม สุบิน กำนันผู้ปกครองท้องที่พยานของจำเลยทั้งสี่ก็ตอบคำถามค้านยอมรับว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามไม่ติดทางสาธารณะเลย จึงรับฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสาม คือที่ดินหมายเลข 3, 4 และ 5 ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4 ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ และที่ดินของจำเลยทั้งสี่ที่โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางอันเป็นทางพิพาทคดีนี้คือที่ดินหมายเลข 6 ในแผนที่ดังกล่าว โจทก์ทั้งสามจึงผ่านที่ดินหมายเลข 6 ไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่งส่วนการที่โจทก์ทั้งสามยังมีทางอื่นออกสู่ถนนสุขาภิบาลสาย 8ได้นั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสามต่างเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกันต่อไปว่า ทางพิพาทเป็นเส้นทางไปสู่ทางสาธารณะได้ใกล้ที่สุด สะดวกที่สุด และทำความเสียหายให้แก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด เพราะเป็นทางที่อยู่ด้านใต้สุดของที่ดินจำเลยทั้งสี่ และอยู่นอกรั้วลวดหนามที่จำเลยทั้งสี่กั้นไว้สำหรับปลูกพืชผล ดังปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.7โดยทางที่ใช้ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสี่สู่ทางสาธารณะยาวประมาณ 70 วาถ้าใช้ทางอื่นไปสู่ถนนสุขาภิบาลสาย 8เป็นทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และต้องผ่านที่คนอื่นมีเจ้าของประมาณ 10 ราย ไม่แน่นอนว่าเจ้าของทั้ง 10 รายจะยอมด้วยทั้งหมดหรือไม่ ทั้งเป็นเส้นทางสูงข้างหนึ่งต่ำข้างหนึ่งพอเดินได้ แต่ใช้รถเข็นไม่ได้ โดยมีนายไมตรี ชลที ผู้ใหญ่บ้านเบิกความสนับสนุนว่า พวกโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะถนนสุขาภิบาลสาย 5 เพราะใกล้กว่าเมื่อก่อนโจทก์จะออกสู่ถนนสุขาภิบาลสาย 8 ไม่ได้เพราะไม่มีทางไปถึง ปัจจุบันไปได้แต่มีบ้านคนปลูกอยู่ประมาณ10 หลังคาเรือนและทางนี้ใช้ได้มา 2 ถึง 3 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1ก็เบิกความยอมรับว่า เมื่อซื้อที่มาแล้วก็ยังคงยอมให้โจทก์กับพวกใช้ทางเดินด้านทิศใต้ดังกล่าวเพราะเห็นว่ามิได้ทำความเสียหายให้แก่ที่ดินแต่อย่างใดทั้งยังรับว่าทางพิพาทที่โจทก์ต้องการให้เปิดอยู่ใกล้ทางสาธารณะ โจทก์เข้าออกสะดวกมากกว่าทางอื่น โดยมีนายแฉล้ม สุบินกำนันซึ่งจำเลยทั้งสี่ขอให้หมายเรียกมาเป็นพยานของตนก็เบิกความเจือสมพยานโจทก์ทั้งสามว่า ถ้าโจทก์ไปออกทางหมู่บ้านจัดสรรไปสู่ถนนสุขาภิบาลสาย 8 เป็นระยะทางประมาณ1 กิโลเมตรครึ่ง แต่ถ้าออกทางพิพาทสู่ถนนสุขาภิบาลสาย 5จะเป็นระยะทางประมาณ 300 เมตร หากขนของมาออกถนนสุขาภิบาลสาย 5 จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าไปออกถนนสุขาภิบาลสาย 8 จึงรับฟังได้ว่าการใช้เส้นทางพิพาทเป็นการสะดวก และเหมาะสมกับความจำเป็นทั้งทำความเสียหายน้อยกว่าทางอื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 วรรคสาม ซึ่งทางจำเป็นนั้นเป็นการได้สิทธิมาโดยอำนาจแห่งกฎหมาย จึงย่อมได้มาตั้งแต่เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม ไม่ใช่ต่อมาเมื่อมีทางออกอื่นได้อีกแล้วจะต้องไปใช้ทางใหม่ที่ไกลกว่า สะดวกน้อยกว่า และทำความเสียหายให้แก่ที่ดินที่ล้อมอยู่มากกว่าแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share