คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยจ้างโจทก์มาทำงานเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ แล้วภายหลังบรรณาธิการได้ละทิ้งหน้าที่ไปเสีย จำเลยขอคนอื่นเป็นบรรณาธิการแทนรัฐบาลพิจารณาเห็นว่ายังไม่สมควรจึงไม่อนุญาตให้หนังสือพิมพ์จึงต้องเป็นอันเลิกล้มไปตาม พ.ร.บ. เอกสารหนังสือพิมพ์ พฤตติการณ์ดังนี้หากให้ตกเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะต้องชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ ทั้งจำเลยหามีสิทธิที่จะเลิกสัญญาในทันทีก่อนกำหนดเวลาตามสัญญาไม่ ม.113 ใช้บังคับแก่กรณีที่ไปเอาการพ้นวิสัยมาเป็นวัตถุแห่งสัญญาในเบื้องต้นหาได้หมายถึงวัตถุแห่งสัญญมาเป็นพ้นวิสัยในภายหลังไม่ฎีกาอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงข้อที่ว่าหนังสือพิมพ์ถูกปิดเพราะความผิดของใครนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงสัญญาทางพระราชไมตรีคดีที่คนบังคับอเมริกันเป็นคู่ความ ๆ ฎีกาได้แต่ฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมาย

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทจำเลยได้จ้างโจทก์มาเป็นบรรณาธิการแผนกข่าวต่างประเทศของหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์โดยให้ค่าจ้างเดือนละ ๔๕๐ บาท นับแต่วัน ที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๖ มีกำหนด ๑ ปี แลสัญญานี้ดูสัญญาอาจบอกเลิกได้โดยให้บอกกล่าวล่วงหน้า ๓ เดือน โจทก์เข้ารับหน้าที่มาจนถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖ ศ.ผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์ได้ละทิ้งหน้าที่ไป รุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ เดือนเดียวกัน ก็เกิดการกบฏ แลในวันที่ ๒๐ เดือนนั้นเอง รัฐบาลก็สั่งห้ามไม่ให้หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์ออกจำหน่ายเพราะเหตุขาดตัวบรรณาธิกา บริษัทจำเลยได้ขอให้ ข.เป็นบรรณาธิการแทน รัฐบาลก็ไม่อนุญาตโดยเห็นว่าไม่มีความรู้พอ บริษัทจำเลยจึงได้ขอให้โจทก์เป็นบรรณาธิการเสียเอง แต่รัฐบาลไม่รับไว้พิจารณาโดยเห็นว่าบ้านเมืองกำลังไม่สงบ ในที่สุดหนังสือพิมพ์นี้ก็ไม่มีบรรณาธิการแลพิมพ์จำหน่ายไม่ได้ เป็นเวลา ๓๐ วัน จึงเป็นอันต้องสิ้นอายุไปตาม ม.๖ แห่งพระราชบัญญัติสมุดเอกสาร ฯ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๔๗๕ โจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ให้โจทก์ออกจากงาน โดยไม่บอกให้โจทก์ทราบล่วงหน้าตามสัญญา จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินเดือน ๓ เดือน แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหักจากที่ได้ชำระบ้างแล้วรวมเป็นเงิน ๑๒๐๐ บาท
ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยเถียงว่าการที่หนังสือพิมพ์ถูกปิดโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาไม่ได้ เพราะจะต้องพิจารณาตามหลักฐานพะยานที่ปรากฏในสำนวน
ข้อที่จำเลยอ้างประมวลแพ่ง ฯ ม.๒๑๙ ว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เห็นว่าไม่ตรงกับรูปคดี เพราะหนี้ระวางโจทก์จำเลยเกิดแต่สัญญาต่างตอบแทน การที่หนังสือพิมพ์ถูกปิดนั้น หาทำให้การชำระหนี้ทางฝ่ายจำเลยกลายเป็นพ้นวิสัยไปไม่ เพราะยังไม่พ้นวิสัยที่จำเลยจะชำระหนี้ใช้ค่าจ้างให้โจทก์ได้อยู่ ข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้ตาม ม.๓๘๖ โดยไม่ต้องลดใช้ค่าเสียหายอย่างใด เห็นว่มาตรานี้เป็นบทกำหนดสิทธิที่จะเลิกได้โดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย หาใช่เรื่องเลิกสัญญาแล้วไม่ใช้ค่าเสียหาย-ดังจำเลยอ้างไม่ แลคดีนี้ก็กำหนดสิทธิเลิกสัญญาต่อกันไว้ จำเลยหาได้ปฏิบัติดังนั้นไม่ การที่จำเลยบอกเลิกเองในทันทีทันใด จะว่าใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตาม ม.๓๘๖ ไม่ได้ จริงอยู่ถึงหากจะถือว่าตาม ม.๓๘๙ ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเลิกสัญญาเสียก็ได้ แต่จำเลยก็มิได้แสดงว่า การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยอันจะโทษเอาแก่ลูกหนี้ได้อย่างไร
ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าเมื่อวัตถุแห่งสัญญามากลายเป็นพ้นวิสัยสัญญาจึงต้องตกเป็นโมฆะตาม ม.๑๑๓ เห็นว่ามาตรา ๑๑๓ ใช้บังคับแก่กรณีที่ไปกำหนดเอาการพ้นวิสัยมาเป็นวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญาขึ้นในเบื้องต้นเท่านั้นแต่ถ้าในขณะที่ทำสัญญากำหนดการอันเป็นวัตถุประสงค์ที่ไม่พ้นวิสัยเช่นในคดีนี้ สัญญาก็ย่อมสมบูรณ์ หากการชำระหนี้มากลายเป็นพ้นวิสัยอย่างใดก็ต้องว่ากันไปตามมาตรา ๒๑๙-๓๗๒ ฯลฯ จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share