คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4617/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายเข้ามากอดปล้ำกระทำอนาจารบุตรสาวจำเลย ถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน จำเลยเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านกรรมการหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลและกรรมการศึกษาประจำโรงเรียน ทั้งไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 3 ปีลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้การกระทำของจำเลยก้ำเกินไปจนเป็นความผิดขึ้น แต่การที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายก็เนื่องจากผู้เสียหายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยเข้ามากอดปล้ำกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงล. บุตรจำเลย ซึ่งจำเลยได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้แล้วและเมื่อพิเคราะห์ถึงคุณงามความดีที่จำเลยเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านกรรมการหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล กรรมการศึกษาประจำโรงเรียนทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปรานีดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์รอการลงโทษไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไปจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share