คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4613/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ค่าเสียความสามารถประกอบการงานของโจทก์เป็นหนี้ค่าเสียหายในอนาคตมีกำหนดจำนวนแน่นอน ซึ่งโจทก์สามารถบังคบเป็นหนี้ค่าเสียหายในอนาคตมีกำหนดจำนวนแน่นอน ซึ่งโจทก์สามารถบังคับได้ในวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจึงสมควรคิดดอกเบี้ย ให้นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับคือนับจากวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษามิใช่นับแต่วันฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2527 เวลากลางวันนายเฉลิม สระดี ลูกจ้างของจำเลยซึ่งได้กระทำการในทางการที่จ้างได้ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยด้วยความประมาทเลินเล่อโดยขับด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อถึงที่เกิดเหตุเป็นทางแยกจึงได้พุ่งเข้าชนรถจักรยานยนต์คันซึ่งโจทก์ขับมาเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 3,000 บาทและโจทก์ได้รับบาดเจ็ดสาหัสจนไม่สามารถประกอบกิจการงานได้โดยสิ้นเชิงตลอดชีวิต คิดเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายและค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตเป็นเงิน417,600 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสิ้น 420,600 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 420,600 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ค่าจ้างผู้ดูแลโจทก์เดือนละ 800 บาท ค่ารักษาพยาบาลและค่ายาเดือนละ 500 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า นายเฉลิม สระดี คนขับรถของจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ แต่เกิดเหตุเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ขับรถจักรยานยนต์มาตามถนนรอบเมืองด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดในขณะที่ฝนตกหนัก และขับรถของโจทก์กินทางด้านขวาของถนนค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาล และค่ายาของโจทก์ไม่เกิน 5,000 บาทค่าเสียหายที่ไม่สามารถประกอบกิจการงานได้ตามปกติไม่เกิน 3,000 บาทและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 800 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 414,940 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป และให้จำเลยชำระค่ารักษาพยาบาลเดือนละ 400 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ทั้งนี้มีระยะไม่เกิน 10 ปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ” พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นคงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2527 นายเฉลิม สระดีลูกจ้างของจำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน10-0871 อุบลราชธานี แล่นรับส่งคนโดยสารมาตามถนนวาริน – กันทรลักษ์ ในทางการที่จ้างของจำเลยชนกับรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-4698 อุบลราชธานีของโจทก์ ที่บริเวณทางแยกตัดกับถนนรอบเมือง โดยโจทก์ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเลี้ยวขวาออกมาจากถนนรอบเมืองเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถประกอบการงานได้ ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ฝ่ายเดียว คนขับรถยนต์โดยสารของจำเลยมิได้ประมาท โดยอ้างว่ารถยนต์โดยสารของจำเลยแล่นมาตามทางเอกส่วนรถของโจทก์แล่นออกมาจากทางโท เกิดเหตุชนกันในช่องทางของรถจำเลยนั้นข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานการเผชิญสืบของศาลชั้นต้นว่า ถนนรองเมือง กว้าง 9 เมตร ส่วนถนนวาริน – กันทรลักษ์ กว้างเพียง 7 เมตร ถนนทั้งสองสายดังกล่าวข้างต้นมีอักษรเขียนไว้บนผิดจราจรก่อนถึงทางแยกที่เกิดเหตุเตือนให้รถบรรทุกคันลดความเร็วและหยุดรถก่อนขับเข้าสู่ทางแยกดังกล่าวฟังได้ว่านายเฉลิม ลูกจ้างจำเลยขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์จริงตามที่โจทก์นำสืบ สำหรับค่าเสียความสามารถประกอบการงานของโจทก์นั้นเป็นหนี้ค่าเสียหายในอนาคตมีกำหนดจำนวนแน่นอน ซึ่งโจทก์สามารถบังคับได้ในวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจึงสมควรคิดดอกเบี้ยให้นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับ คือนับจากวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษามิใช่นับแต่วันฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 43,952 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง และชำระเงินจำนวน 288,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share