แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้วอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเพียงสองเดือน ต่อมาจำเลยไปรับราชการทหารและปลดเป็นกองหนุนเมื่อปี 2531 หลังจากที่จำเลยปลดประจำการทหารแล้วจำเลยมิได้กลับไปอยู่กินด้วยกันกับโจทก์ฉันสามีภริยา จนกระทั่งปี 2533 โจทก์จึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับ ฉ. จนมีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี ตั้งแต่จำเลยปลดประจำการทหารในปี 2531 โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์หรือไม่ เห็นว่า หลังจากโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว โจทก์กับจำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเพียงสองเดือน หลังจากนั้นจำเลยไปรับราชการทหารตลอดมาและปลดเป็นกองหนุนเมื่อปี 2531 หลังจากจำเลยปลดประจำการทหารแล้ว จำเลยควรจะมาอยู่กินกับโจทก์ในฐานะสามีภริยา ควรหาที่อยู่อาศัยเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่จำเลยกลับย้ายออกจากบ้านน้าสาวที่เขตห้วยขวางโดยไม่ขวนขวายเพื่อติดต่อกับโจทก์ เป็นการส่อเจตนาว่าจำเลยไม่ประสงค์ให้โจทก์ไปอยู่ร่วมกันมากกว่า จำเลยอ้างว่าหลังจากปลดประจำการทหารเคยชวนโจทก์มาอยู่ด้วยก็เป็นการกล่างอ้างลอย ๆ หากจำเลยนำพาที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากันโจทก์จำเลยควรที่จะติดต่อให้เป็นกิจจะลักษณะเพื่อพาโจทก์ไปอยู่ด้วย จำเลยอ้างแต่เพียงว่าเคยส่งจดหมายและโทรศัพท์ไปแล้ว แต่โจทก์ไม่ตอบนั้นเป็นการขวนขวายที่ไม่เพียงพอ การเป็นสามีภริยากันนั้นเมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้วตามกฎหมายสามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและสามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน แต่ไม่ปรากฏวาจำเลยปฏิบัติเช่นนั้นกลับหนีหายไปพฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยไม่เอาใจใส่ดูแลโจทก์ในฐานะสามีที่จะพึงปฏิบัติต่อภริยา แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์ที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์อีกแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลังจากจำเลยปลดประจำการทหารแล้ว จำเลยมิได้กลับไปอยู่กินด้วยกันกับโจทก์ฉันสามีภริยา จนกระทั่งปี 2533 โจทก์จึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนายเฉลิมพลจนมีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินหนึ่งปีตั้งแต่จำเลยปลดประจำการทหารในปี 2531 โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน