คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4612/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การชำระหนี้แก่ผู้ครองทรัพย์ในขณะเกิดเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 441 จะถือว่าเป็นการชำระหนี้แก่ผู้มีอำนาจรับชำระหนี้โดยชอบก็ต่อเมื่อผู้ชำระหนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นไม่รู้ว่าผู้ที่รับชำระหนี้นั้นไม่ใช่เจ้าของทรัพย์และความไม่รู้นั้นมิใช่เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน เมื่อฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และ ส. พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 2 รู้หรือควรรู้ได้แล้วว่า น. ผู้ขับขี่ควบคุมรถของโจทก์อันถือว่าเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะเกิดเหตุ ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์กระบะนั้น ซึ่งแม้จะอ้างว่าไม่รู้ แต่การไม่รู้นั้นก็เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของคนทั้งสองเอง การชำระหนี้รวมตลอดถึงการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ น. จึงถือว่าเป็นการชำระหนี้หรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบุคคลที่ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้หรือไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยทั้งกรณีก็ฟังไม่ได้ว่า น. เป็นตัวแทนของโจทก์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ดังนี้ สัญญายอมรับในความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่ายจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะมีผลผูกพันโจทก์ได้
แม้ น. จะขับรถไปถึงทางสี่แยกก่อน แต่ก่อนที่จะขับรถผ่านทางแยกนั้นไปก็ควรจะดูให้เห็นถึงความปลอดภัยก่อน การที่รถยนต์กระบะที่ น. ขับไปถูกรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 1 ขับชนทางด้านท้ายขณะกำลังจะผ่านสี่แยกไป เหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ถูกชนก็เพราะ น. ได้ขับรถผ่านสี่แยกไปโดยไม่ดูให้เห็นถึงความปลอดภัยอย่างชัดเจนก่อน จึงมีส่วนประมาทด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 482,390 บาท ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 23 เมษายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 นายนิกร ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บบ 9663 นครปฐม ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของไปตามถนนไผ่งาม – ดอนยอ มุ่งหน้าไปทางตำบลดอนยอ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บล 8582 นครปฐม ซึ่งประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 2 ตามถนนเลียบคลองท่าสารมุ่งหน้าไปทางตำบลลำลูกบัว เมื่อไปถึงบริเวณสี่แยกคลองท่าสาร รถยนต์กระบะทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันได้รับความเสียหายภายหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่า ขับรถด้วยความเร็วและห้ามล้อไม่ทัน จึงเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะที่นายนิกรขับ ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ พนักงานสอบสวนจึงเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 400 บาท นอกจากนั้น จำเลยที่ 1 กับนายนิกรได้ทำสัญญายอมรับในความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่ายไว้โดยตกลงกันว่าไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ต่อกันและกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สัญญายอมรับในความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่ายระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายนิกรเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีผลใช้บังคับได้หรือไม่ ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุนายนิกรขับรถยนต์กระบะคันที่โจทก์เป็นเจ้าของไปเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะคันที่จำเลยที่ 1 เป็นคนขับและมีจำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุน นายนิกรจึงเป็นผู้ครองรถยนต์กระบะของโจทก์ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ในขณะเกิดเหตุ แม้ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ก็มีสิทธิที่จะรับชำระหนี้รวมถึงมีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการชำระหนี้ค่าสินไหมทดแทนได้เช่นกัน ดังนี้ สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างนายนิกรกับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 และทำให้สิทธิเรียกร้องของแต่ละฝ่ายระงับสิ้นไป โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้อีก เห็นว่า การชำระหนี้แก่ผู้ครองทรัพย์ในขณะเกิดเหตุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 441 จะถือว่าเป็นการชำระหนี้แก่ผู้มีอำนาจรับชำระหนี้โดยชอบก็ต่อเมื่อผู้ชำระหนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นไม่รู้ว่าผู้ที่รับชำระหนี้นั้นไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ และความไม่รู้นั้นมิใช่เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน คดีนี้ได้ความว่า ขณะเกิดเหตุนายนิกรเป็นพนักงานของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด มีหน้าที่ขับรถยนต์กระบะขายไอศกรีม รถยนต์กระบะมีสติ๊กเกอร์ติดอยู่ที่ตู้เย็นใบใหญ่ว่าบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด และมีโลโก้หรือตราสัญลักษณ์เป็นรูปไอศกรีมและลูกเชอรี่ วันเกิดเหตุนายนิกรสวมชุดเครื่องแบบของบริษัท มีโลโก้เป็นรูปไอศกรีมติดอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังเบิกความด้วยว่า เมื่อเกิดเหตุแล้วพยานเห็นคนขับรถซึ่งหมายถึงนายนิกรโทรศัพท์ตามพนักงานของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด และมีพนักงานเช่นเดียวกับนายนิกรมาที่ที่เกิดเหตุ 4 ถึง 5 คน ส่วนรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 1 ขับและเกิดเหตุชนกันนั้น จำเลยที่ 1 เบิกความว่า หลังเกิดเหตุ พยานโทรศัพท์แจ้งผู้รับประกันภัย ไม่นานประมาณครึ่งชั่วโมง พนักงานของบริษัทประกันภัยจำเลยที่ 2 ก็มายังที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจมาถึงก่อนพนักงานของบริษัทประกันภัย เจ้าพนักงานตำรวจบอกให้พยานไปสถานีตำรวจ พยานบอกว่ารอพนักงานของบริษัทประกันภัยมาก่อน และนายสุนันท์ พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 2 พยานจำเลยที่ 2 เบิกความว่า เมื่อพยานไปถึงที่เกิดเหตุ พยานพบรถยนต์กระบะทั้งสองฝ่ายจอดอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ พยานได้ถ่ายรูปรถยนต์กระบะทั้งสองฝ่ายไว้ เห็นได้ว่า หลังเกิดเหตุ ทั้งจำเลยที่ 1 คนขับรถคู่กรณีและนายสุนันท์ พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 2 ซึ่งไปถึงที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุไม่นาน คนทั้งสองย่อมมีโอกาสเห็นรถยนต์กระบะของโจทก์ ซึ่งที่ตู้เย็นใบใหญ่มีสติ๊กเกอร์มีข้อความว่าบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด ติดอยู่และมีโลโก้เป็นรูปไอศกรีมและลูกเชอรี่ติดอยู่ด้วย ตามวิสัยของวิญญูชนทั่วไป คนทั้งสองก็ย่อมรู้หรือควรรู้ได้ว่ารถยนต์กระบะของโจทก์ที่ถูกชนนั้นเป็นรถของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด หรือใช้ในกิจการของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด ส่วนนายนิกรที่แต่งกายสวมชุดเครื่องแบบของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด มีโลโก้เป็นรูปไอศกรีมติดอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ คนทั้งสองก็ควรรู้ได้ว่านายนิกรเป็นพนักงานขับรถ ยิ่งต่อมามีพนักงานของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด ซึ่งแต่งกายเช่นเดียวกับนายนิกรมายังที่เกิดเหตุอีก 4 ถึง 5 คน มาช่วยขนไอศกรีมและสิ่งของที่ตกหล่นอยู่ในที่เกิดเหตุ คนทั้งสองก็คงจะยิ่งแน่ใจรู้แก่ตนได้ว่านายนิกรก็คงเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งของบริษัทโรงงานเชอร์รี ไอศกรีม จำกัด นั้นเอง ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์กระบะบรรทุกไอศกรีมนั้นแต่อย่างใด ซึ่งความข้อนี้นายสุนันท์ยังเบิกความตอนหนึ่งได้ความว่า พยานได้บอกนายนิกรซึ่งเป็นเพียงคนขับรถไม่สามารถพูดคุยกันได้ให้โทรศัพท์ไปสอบถามนายจ้างว่าจะเอาอย่างไร การบอกไปเช่นนั้นก็แสดงว่าได้เห็นแล้วว่านายนิกรไม่ใช่เจ้าของรถนั้น ดังนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในขณะเกิดเหตุนั้นทั้งจำเลยที่ 1 และนายสุนันท์ได้รู้อยู่แก่ตนแล้วว่า นายนิกรไม่ใช่เจ้าของรถยนต์กระบะบรรทุกไอศกรีมที่ถูกชน ถึงแม้คนทั้งสองจะอ้างว่าไม่รู้ว่านายนิกรไม่ใช่เจ้าของรถ แต่เหตุที่ไม่รู้ก็เป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของคนทั้งสองเอง และกรณีก็ไม่ปรากฏว่านอกจากนายนิกรจะได้รับมอบหมายให้ขับรถของโจทก์แล้ว นายนิกรยังมีอำนาจไปทำการตกลงเกี่ยวกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการขับรถนั้นด้วยหรือไม่ อย่างไร และเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจะเคยมีทางปฏิบัติกันมาอย่างไรก็ไม่ชัดเจน ซึ่งคดีนี้เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วได้ความเพียงว่า ทางฝ่ายโจทก์ไม่มีพนักงานของบริษัทประกันภัยเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ทั้งนายนิกร จำเลยที่ 1 และนายสุนันท์รออยู่ในที่เกิดเหตุเป็นเวลานาน เป็นเวลาจวนค่ำ ได้มีบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนนายหน้าบริษัทประกันภัยของฝ่ายโจทก์โทรศัพท์ไปถึงนายนิกร นายนิกรได้ส่งโทรศัพท์ให้พูดคุยกันเองกับนายสุนันท์ จากนั้นนายสุนันท์แจ้งนายนิกรว่าเขาตกลงกันได้แล้ว เป็นกรณีต่างฝ่ายต่างประมาท แล้วนายสุนันท์นำสัญญายอมรับในความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่ายมาให้นายนิกรลงชื่อ นายนิกรก็ลงชื่อไป เห็นว่า บุคคลที่อ้างว่าโทรศัพท์ไปหานายนิกรในที่เกิดเหตุจะเป็นใครก็ยังไม่มีการระบุตัวตนได้แน่นอน ข้อที่อ้างว่าเป็นกรณีต่างฝ่ายต่างประมาทนั้น เมื่อพิจารณาแล้วอย่างน้อยก็ยังขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ได้ความว่า ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ทางฝ่ายจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว เหตุเพราะจำเลยที่ 1 ขับรถเร็วเฉี่ยวชนรถยนต์กระบะของโจทก์ จำเลยที่ 1 รับสารภาพ เจ้าพนักงานตำรวจเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 1 ไป ส่วนสัญญายอมรับในความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่าย ที่อ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ก็เป็นแบบฟอร์มที่นายสุนันท์พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 2 มีพกติดตัวไว้อยู่แล้ว และนำมาบอกให้นายนิกรลงชื่อ กรณียังไม่ชัดเจนว่ามีการที่โจทก์เชิดให้นายนิกรลงชื่อในสัญญาแต่อย่างใด แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีกลับมีความน่าสงสัยตามสมควรว่าอาจมีการอาศัยโอกาสที่ฝ่ายโจทก์ยังไม่มีพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุไปยังที่เกิดเหตุ รออยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่มีใครไป และโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่แตกต่างกัน รวบรัดเอาเปรียบกันก็เป็นได้ ดังนี้ เมื่อฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และนายสุนันท์พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 2 รู้หรือควรรู้ได้แล้วว่า นายนิกรผู้ขับขี่ควบคุมรถของโจทก์อันถือว่าเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะเกิดเหตุ ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์กระบะนั้น ซึ่งแม้จะอ้างว่าไม่รู้ แต่การไม่รู้นั้นก็เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของคนทั้งสองเอง การชำระหนี้รวมตลอดถึงการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายนิกรจึงถือว่าเป็นการชำระหนี้หรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบุคคลที่ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้หรือไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ทั้งกรณีก็ฟังไม่ได้ว่านายนิกรเป็นตัวแทนของโจทก์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ดังนี้ สัญญายอมรับในความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่าย จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะมีผลผูกพันโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับได้ และโจทก์ไม่อยู่ในฐานะจะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท และจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้นายนิกรจะขับรถไปถึงทางสี่แยกนั้นก่อน แต่ก่อนที่จะขับรถผ่านทางแยกนั้นไปก็ควรจะดูให้เห็นถึงความปลอดภัยก่อน การที่รถยนต์กระบะที่นายนิกรขับไปถูกรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 1 ขับชนทางด้านท้ายขณะกำลังจะผ่านสี่แยกไปนั้น น่าเชื่อว่านายนิกรคงจะขับรถไปถึงสี่แยกก่อนจำเลยที่ 1 ไม่นานมากนัก และเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ถูกชนก็เพราะนายนิกรได้ขับรถผ่านสี่แยกไปโดยไม่ดูให้เห็นถึงความปลอดภัยอย่างชัดเจนก่อน จึงมีส่วนประมาทด้วย แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว จำเลยที่ 1 ประมาทมากกว่า เห็นสมควรให้จำเลยที่ 1 รับผิด 3 ใน 5 ส่วน คิดเป็นเงิน 115,200 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยนับแต่วันที่ทำละเมิด
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 115,200 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ 23 เมษายน 2557 และจำเลยที่ 2 นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 สิงหาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share