แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป.และ จ.ฟ้องจำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14613 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ป.และ จ. อ้างว่าจำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ชั่วคราว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้ว การออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวกระทำโดยมิชอบ จำเลยขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยให้จำเลย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และเพิกถอนโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินของจำเลย เมื่อตามคำฟ้องแย้งและคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทปรากฏว่าคู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าที่ดินที่จำเลยอ้างว่าจำเลยครอบครองอยู่และโจทก์ออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของจำเลยนั้นมีจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาที่ดิน-พิพาทราคาไร่ละ 60,000 บาท และศาลชั้นต้นกำหนดราคาตามที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาท ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวาดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาททั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจึงมีราคาจำนวนละ 107,400บาท ไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาโดยมิได้พิพากษาในส่วนฟ้องแย้งโดยให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง