คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 461/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเรียกเก็บภาษีเงินได้จากบริษัทและหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นการคำนวณกำไรสุทธิต้องหักผลขาดทุนในปีก่อนๆเสียก่อนถ้าหักแล้วยังไม่มีกำไรก็ไม่มีเงินได้ที่จะต้องเสียภาษี(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2498)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์จำเลยแถลงรับกันไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ในฐานะผู้จัดการและผู้ถือหุ้นไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทสยามเทรดดิ้ง ได้ยื่น ภ.ง.ด.5 แสดงว่าในปี 2490 ห้างหุ้นส่วนขาดทุน 202,386.57 บาท ในปี 2491 ได้กำไร 146,386.94 บาท หักกลบกันแล้วยังขาดทุนอยู่ 55,660.63 บาท จำเลยถือว่าในปี 2491 ห้างหุ้นส่วนโจทก์มีกำไรเกินกว่าร้อยละ 12 ของเงินทุนและมิได้แบ่งผลกำไรจึงสั่งให้นำเงินภาษีไปชำระ โจทก์คัดค้านว่าห้างหุ้นส่วนยังขาดทุน ไม่ต้องเสียภาษี

ศาลแพ่งวินิจฉัยว่าการประเมินภาษีต้องคิดจากกำไรเฉพาะปี พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเงินขาดทุนเป็นรายจ่ายอย่างหนึ่งพิพากษากลับว่าคำสั่งจำเลยไม่ชอบ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 65 ให้เก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิที่ได้จ่าย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1084, 1201 บังคับมิให้แบ่งกำไรหรือเงินปันผลจนกว่าทุนที่ขาดไปจะได้คืนมาเต็มจำนวน ต่อมา พ.ศ. 2489 ได้แก้ไขให้สำรวจเก็บภาษีจากกำไรที่ยังไม่ได้จ่ายโดยให้หักค่าใช้จ่ายได้ (แก้ มาตรา 75 วรรค 2) แต่มาตรา 65 เดิมก็ยังไม่ได้แก้ไข เมื่อใช้ประมวลรัษฎากรแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2494 แล้วตามมาตรา 65 ตรีข้อ 12 ได้บัญญัติว่าไม่ให้หักรายจ่ายในส่วนที่เป็นผลขาดทุนปีก่อน ๆ เฉพาะส่วนที่มีเงินสำรองหรือกำไรยกมาชดเชย ข้อเท็จจริงดังคดีนี้ตามกฎหมายใหม่ก็ยังคงหักได้ จึงเห็นว่าตามกฎหมายเก่าย่อมหักผลขาดทุนได้ เมื่อหักแล้วไม่มีกำไรก็ไม่มีเงินได้ต้องเสียภาษีศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share