คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปก่อสร้างรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและปลูกต้นไม้ในที่ดินโจทก์ ขอให้รื้อถอนออกไป จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยกระทำลงบนที่ดินของจำเลยที่ซื้อมา เมื่อซื้อมาแล้วจำเลยได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว เห็นได้ว่ารูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การนั้นไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยก่อสร้างรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและปลูกต้นไม้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออก เป็นเนื้อที่ประมาณ 35 ตารางวา โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนและออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์เสียหายไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 12446 ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินส่วนหนึ่งส่วนใดของโจทก์ จำเลยได้กระทำบนที่ดินของจำเลย ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยรุกล้ำนั้นเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลยซึ่งจำเลยซื้อมาจากนางสายใย รัชนิวัต โดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 25788, 25789 และ 25790 เมื่อซื้อมาแล้วจำเลยเข้าครอบครองโดยความสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้น นอกจากจำเลยจะได้กรรมสิทธิ์โดยนิติกรรมซื้อขายแล้ว จำเลยยังได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองเกิน 10 ปี ด้วยอีกทางหนึ่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยนำสืบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดเลขที่ 25789 กับ 25790 ที่จำเลยซื้อมาศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อปรากฏว่าโฉนดเลขที่ 25789 ของจำเลยมีเนื้อที่เพียง 18 ตารางวา และมีรูปเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งอยู่ติดกับที่ดินพิพาท ส่วนที่ดินของจำเลยอีกแปลงตามโฉนดเลขที่ 25790 มีเนื้อที่ที่ซื้อมา 95 ตารางวา มีที่ดินอยู่ถัดออกไป ดังปรากฏตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 การที่ที่ดินตามโฉนดทั้งสองของจำเลยมีเนื้อที่ดังกล่าวอยู่ก่อนที่จำเลยจะซื้อทั้งแปลงมาย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินในที่ดินที่มีจำนวนเนื้อที่ตามที่ระบุไว้ในโฉนดและตามเอกสารหมาย ล.11 ที่มีรูปแผนที่ที่ดินที่จำเลยอ้างก็ได้แสดงไว้แล้วว่า ที่ดินที่จำเลยได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยทางนิติกรรมเป็นที่ดินจัดสรรที่มีจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนแล้ว ดังนั้น ตามที่จำเลยได้ให้การไว้ว่า จำเลยไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินโจทก์ ไม่ว่าด้วยการก่อสร้างรั้วกำแพงหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ หรือปลูกต้นไม้ การกระทำใด ๆ ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยได้กระทำบนที่ดินของจำเลย ที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยรุกล้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยซึ่งจำเลยซื้อมา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในที่ดินตามโฉนดที่จำเลยซื้ออีกทั้ง ข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย คดีมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า ศาลจะหยิบยกประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปก่อสร้างรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและปลูกต้นไม้ในที่ดินโจทก์ ขอให้รื้อถอนออกไปจำเลยให้การว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่จำเลยกระทำลงบนที่ดินของจำเลยที่ซื้อมา เมื่อซื้อมาแล้วจำเลยได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปีแล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่ารูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 12446 ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน(บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร

Share