แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องจะขอใช้สิทธินำเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 มาหักกลบลบหนี้กับเงินที่ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้แล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 102 นั้น จะต้องพิจารณาว่าในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 ผู้ร้องเป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามบัญชีเงินฝากประจำคือเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยเพียงใด แล้วจึงนำมาหักกลบลบหนี้กับจำเลยที่ 1ได้ ผู้ร้องไม่อาจนำดอกเบี้ยของเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 ที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วมาหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 102 ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่10 มิถุนายน 2536 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2537
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้และศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามเป็นเงิน 289,167,977.99 บาท ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2539ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอนำเงินฝากประจำที่จำเลยที่ 1ฝากไว้กับผู้ร้องจำนวน 4,057,564.23 บาท มาหักกลบลบหนี้กับเงินที่ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามแต่ผู้คัดค้านเห็นว่าเงินฝากในบัญชีของจำเลยที่ 1 คำนวณถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเงิน 3,016,694.99 บาท และเมื่อคำนวณต้นเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอหักกลบลบหนี้เป็นเงิน 4,141,040.81 บาท ซึ่งยอดที่เพิ่มนี้เป็นดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดรวมอยู่ด้วยเป็นเงิน 1,124,345.82 บาทผู้ร้องจะนำเอาดอกเบี้ยดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้และมีคำสั่งให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้ได้ 3,016,695.99 บาท(ที่ถูกเป็น 3,016,694.99 บาท และให้ผู้ร้องส่งเงิน 1,124,345.82 บาท ต่อผู้คัดค้าน คำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจากการที่จำเลยที่ 1 ฝากเงินไว้กับผู้ร้องนั้น ผู้ร้องจะต้องคืนเงินฝากดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อถูกทวงถามตามเงื่อนไขและเวลาที่กำหนด และจำเลยที่ 1มีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตลอดเวลาจนกว่าจะถอนเงินคืนทั้งหมด ซึ่งผู้ร้องมีหน้าทีจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ถอนเงินคืน เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอหักกลบลบหนี้หน้าที่ที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่จำเลยที่ 1ก็จะสิ้นสุดลงเพียงนั้นดังนั้นเงินต้นและดอกเบี้ยที่คำนวณถึงวันขอหักกลบลบหนี้จึงเป็นหนี้ที่ผู้ร้องจะต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งหมด มิใช่เฉพาะยอดเงินที่คำนวณถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้เป็นเงิน 4,057,564.23 บาทและไม่ต้องส่งเงิน 1,124,345.82 บาท ต่อผู้คัดค้าน โจทก์และผู้คัดค้านยื่นคำแถลงคัดค้านเป็นทำนองเดียวกันว่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นหนี้ที่ผู้ร้องจะนำมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้เนื่องจากหนี้ที่นำมาขอหักกลบลบหนี้ได้ต้องเป็นหนี้ที่อยู่ก่อนหรือมีอยู่ในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 102 ขอให้ยกคำร้องและให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้ได้3,016,694.99 บาท และส่งเงิน 1,124,345.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 มกราคม 2541 (วันฟังคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์)เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของผู้คัดค้าน ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยทั้งสามถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2536 ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสามและศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามเป็นเงิน 289,167,977.99 บาท ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม2539ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านเพื่อขอนำเงินฝากประจำที่จำเลยที่ 1 ฝากไว้กับผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอหักกลบลบหนี้เป็นเงิน 4,057,564.23 บาทกับเงินที่ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้แล้ว แต่ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้ได้เพียง3,016,694.99 บาท อันเป็นยอดเงินในบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 คำนวณถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และให้ผู้ร้องส่งเงินอีก 1,124,345.82 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันที่ 16 มกราคม 2541 อันเป็นวันที่ผู้ร้องทราบคำสั่งของผู้คัดค้านเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จคดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะนำดอกเบี้ยเงินฝากที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดแล้วมาหักกลบลบหนี้กับเงินที่ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่า สิทธิหักกลบลบหนี้กับจำเลยที่ 1 นั้น ผู้ร้องจะใช้สิทธิเมื่อใดก็ได้แม้หลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว และหนี้สินที่จะนำมาหักล้างกันระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1นั้นต้องคิดคำนวณจนถึงวันขอหักกลบลบหนี้อันเป็นวันที่สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1กับผู้ร้องสิ้นสุดลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 102 บัญญัติไว้ว่า ถ้าเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ลูกหนี้ในเวลาที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ถึงแม้ว่ามูลแห่งหนี้ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันก็ดีหรืออยู่ในเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาก็ดีก็อาจหักกลบลบกันได้เว้นแต่เจ้าหนี้ได้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้ภายหลังที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ร้องจะขอใช้สิทธินำเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 มาหักกลบลบหนี้กับเงินที่ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้แล้วนั้น จะต้องพิจารณาว่าในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 นั้น ผู้ร้องเป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามบัญชีเงินฝากประจำคือเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยเพียงใด แล้วจึงนำมาหักกลบลบหนี้กับจำเลยที่ 1 ได้ผู้ร้องไม่อาจนำดอกเบี้ยของเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 ที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วมาหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 102 ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนมานั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน