คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4601/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย สัญญาย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 นอกจากนี้ตามหนังสือบอกกล่าวของทนายโจทก์ถึงจำเลยทั้งสองก็ระบุชัดว่าโจทก์เลิกสัญญา จึงฟังได้ว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระต่อไปแม้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5จะระบุให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อจนครบในกรณีที่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกต่อไปก็ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ตกลงชำระค่าเสียหายเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่โจทก์ในกรณีนี้ซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่ศาลมีอำนาจลดหย่อนลงได้หากเห็นว่าค่าเสียหายที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินควร เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อไปตามสัญญาข้อ 7 แต่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยในอัตรารอยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันจำนวน102,800 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า การตั้งตัวแทนทำสัญญาเช่าซื้อของโจทก์ไม่สมบูรณ์ รถคันที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจากโจทก์ตามฟ้องได้ถูกคนร้ายลักไปสัญญาเช่าซื้อจึงระงับสิ้นลงแม้สัญญาเช่าซื้อจะมีข้อตกลงระบุไว้ให้จำเลยที่ 1 ยังต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจนครบในกรณีทรัพย์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปขอตกลงดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่มีผลบังคับ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเช่าซื้อภายหลังจากสัญญาเช่าซื้อระงับลง คงต้องรับผิดเฉพาะค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนสัญญาระงับซึ่งเป็นเงิน 5,200 บาท ไม่ใช่ 102,800 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า การตั้งตัวแทนทำสัญญาเช่าซื้อตามฟ้องไม่มีผลสมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันสัญญาดังกล่าวจึงไม่ต้องรับผิด เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถที่เช่าซื้อแก่โจทก์โดยพลัน โจทก์มีสิทธิเพียงเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหรือค่าขาดประโยชน์ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้คืนรถที่เช่าซื้อเท่านั้น เมื่อรถที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป จำเลยที่ 1 คงต้องรับผิดเฉพาะค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าขาดประโยชน์ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นเท่านั้น หาจำต้องชำระค่าเช่าซื้อจนครบไม่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็หาต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อจนครบด้วยไม่ สิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดประจำวันที่ 29กรกฎาคม 2522 ถึงงวดประจำวันที่ 29 สิงหาคม 2523 รวม 14 งวด นั้นขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน102,800 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ” ในปัญหาที่ว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วหรือไม่นั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่งเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 นอกจากนี้ตามหนังสือบอกกล่าวของทนายความของโจทก์ถึงจำเลยทั้งสองเอกสารหมาย จ.7 ก็ระบุชัดว่าโจทก์เลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อแล้ว จึงฟังได้ว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระต่อไปแม้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 จะระบุให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าซื้อจนครบในกรณีที่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัยก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ตกลงชำระค่าเสียหายเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่โจทก์ในกรณีนี้ซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่ศาลมีอำนาจลดหย่อนลงไปหากเห็นว่าค่าเสียหายที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินควรในกรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าค่าเสียหายที่กำหนดไว้เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระนั้นเป็นจำนวนที่สูงเกินไป เพราะราคารถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นเป็นการคิดราคารถรวมกับค่าเช่าและการใช้รถต้องมีการเสื่อมราคาจึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้ 80,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 102,800 บาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นเลิกกันแล้วและจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินเพียง 80,000 บาท สำหรับดอกเบี้ยที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยทั้งสองชำระในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น ศาลฎีกาก็ไม่เห็นพ้องด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาข้อ 7 ซึ่งกำหนดไว้ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อหรือไม่ชำระเงินใด ๆ ที่ผู้เช่าซื้อที่หน้าที่ต้องชำระตามสัญญา แต่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share