คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิด ของผู้ร้องสอด การที่จำเลยนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของ ส. หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของเงินที่แท้จริง และโจทก์ตกลงให้กระทำได้เช่นนี้แม้เช็คพิพาทจะระบุชื่อโจทก์ เป็นผู้รับเงิน การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ส่วนจำเลยเป็นนิติบุคคล โจทก์มีเงินได้เป็นค่าจ้างตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารประกอบของโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ ซึ่งได้ชำระด้วยเช็คธนาคารแห่งประเทศไทย รวมสี่ฉบับ ลงวันที่ 29 มกราคม2524 สั่งจ่ายเงิน 1,597,200 บาท เช็คลงวันที่ 8 เมษายน 2524สั่งจ่ายเงิน 1,643,600 บาท เช็คลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2524 สั่งจ่ายเงิน 2,129,600 บาท และเช็คลงวันที่ 16 กันยายน 2524 สั่งจ่ายเงิน 1,839,200 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,211,600 บาท เช็คดังกล่าวแต่ละฉบับระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและได้ขีดคร่อมเช็คแต่เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดสุรศักดิ์ก่อสร้างกันทรวิชัยตัวแทนโจทก์ได้นำเช็คแต่ละฉบับดังกล่าวไปติดต่อขอให้จำเลยเรียกเก็บเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยและโอนเงินทางโทรเลขให้โจทก์ จำเลยกลับโทรเลขโอนเงินตามเช็คแต่ละฉบับของโจทก์ไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสุรศักดิ์ศรีสถิตย์ โดยมิชอบ จำนวนเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับเมื่อหักค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บเงินและโอนเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับ ซึ่งคิดเป็นเงิน 3,685 บาท แล้วจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน7,207,915 บาท เพราะถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 8,522,543.62 บาทกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ ที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามเป็นการกระทำโดยสุจริตตามคำสั่งของนายสุรศักดิ์ตัวแทนของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์กับผู้ร้องสอดได้ตกลงกันให้ใช้ชื่อโจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ของกรมสามัญศึกษาโดยให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้ดำเนินงานทั้งหมด และรับผิดชอบแต่ผู้เดียว และให้เงินก่อสร้างที่จะได้รับจากกรมสามัญศึกษาเป็นของผู้ร้องสอด โจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเงินค่าก่อสร้างทั้งหมดและตกลงยินยอมให้ผู้ร้องสอดนำเงินตามเช็คที่รับมาจากกรมสามัญศึกษาเข้าบัญชีของผู้ร้องสอดที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม เงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างก่อสร้างดังกล่าวจึงเป็นเงินของผู้ร้องสอด โจทก์ไม่มีสิทธิแต่อย่างใด หากโจทก์ชนะคดีผู้ร้องสอดอาจถูกจำเลยใช้สิทธิไล่เบี้ยได้จึงร้องสอดเข้ามาในคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ให้การและแก้ไขคำให้การแก้คำร้องสอดว่า โจทก์มิได้ตกลงให้ผู้ร้องสอดใช้ชื่อโจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ โจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างและดำเนินงานทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนแล้วเสร็จ เงินตามฟ้องเป็นเงินค่าก่อสร้างที่กรมสามัญศึกษาจ่ายให้โจทก์ จึงเป็นเงินของโจทก์ ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิแต่อย่างใด การที่ผู้ร้องสอดนำเงินของโจทก์ไปเข้าบัญชีของผู้ร้องสอด จึงเป็นการกระทำผิดหน้าที่ตัวแทนของโจทก์
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 7,207,915 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยยกคำร้องสอด
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเช็คธนาคารแห่งประเทศไทยที่กรมสามัญศึกษาเป็นผู้สั่งจ่ายโดยระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปโดยมีข้อความว่า “เข้าบัญชีผู้รับเท่านั้น” ต่อมาผู้ร้องสอดซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ในการรับเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบบับได้นำเช็คพิพาทแต่ละฉบับมาให้ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่เรียกเก็บเงินตามเช็คเหล่านั้น และได้ทำคำขอให้ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่โอนเงินตามเช็คพิพาทแต่ละฉบับโดยทางโทรเลขไปยังธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่ได้จัดการให้ตามคำขอดังกล่าว แต่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคารกลับนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอด การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์มิได้รับเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ…
สำหรับประเด็นที่ว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับนั้น… ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องสอดมีหลักฐานการรับเงินค่าตอบแทนของโจทก์และหลักฐานการจ่ายค่าจ้างให้แก่ภริยาจำเลยปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ร.5 และ ป.ร.6 ตามลำดับ นอกจากนั้นผู้ร้องสอดมีนายไกรวัล ทะกันจร นายอนันต์ มิตรภานนท์ นายผงวงษ์สมศรี นายบุญมี อังกาพย์ เบิกความยืนยันว่าผู้ร้องสอดได้ว่าจ้างให้นายไกรวัลย์ เป็นคนทาสีอาคารเรียนที่ก่อสร้าง ซึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าจากนายอนันต์มาติดตั้งในอาคารเรียนที่ก่อสร้าง ว่าจ้างนายผงเป็นยามรักษาการณ์และรับสิ่งของที่นำมาใช้ในการก่อสร้างโดยให้นายบุญมีเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ส่วนโจทก์นำสืบลอย ๆ ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างอาคารดังกล่าวด้วยตนเอง นอกจากนี้ข้อที่นายสมจิตรหุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์เบิกความว่าในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอยู่นั้น นายสมจิตรไม่มีเงิน ต้องกู้เงินจากนายสุรศักดิ์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างผู้ร้องสอดมาใช้จ่ายเดือนละ 1,500 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ร.5 นั้น ก็ขัดต่อเหตุผล เพราะหากนายสมจิตรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์มีความสามารถประมูลงานได้ในราคาเกือบ10,000,000 บาทเช่นนี้ นายสมจิตรน่าจะมีความสามารถในการหาเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนได้มากพอสมควรไม่น่าเชื่อว่าจำเป็นจะต้องกู้ยืมเงินนายสุรศักดิ์ไปใช้จ่ายเพียงเดือนละ 1,500 บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้างานก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นของโจทก์เอง ก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องมอบให้ผู้ร้องสอดไปรับเงินค่าก่อสร้างแทน เพราะเงินที่จะต้องรับแต่ละงวดมีจำนวนมากถึงงวดละกว่า1,000,000 บาท และถ้าเงินค่าจ้างก่อสร้างแต่ละงวดเป็นของโจทก์จริงโจทก์ก็น่าจะคอยติดตามสอบถามถึงการรับเงินดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อนำเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อไป เพราะโจทก์นำสืบรับว่าขาดเงินทุนหมุนเวียนอยู่ ส่วนข้อที่โจทก์นำสืบว่าได้ติดตามสอบถามการรับเงินของผู้ร้องสอดแล้ว ผู้ร้องสอดแจ้งว่ากำลังโอนเงินอยู่ ก็เป็นเหตุผลไม่น่าเชื่อเพราะการรับเงินแต่ละงวดมีระยะเวลาห่างกันนานนับเป็นเดือน ทั้งเงินที่ได้รับแต่ละงวดมีจำนวนมาก หากโจทก์ยังไม่ได้รับเงินงวดแรก โจทก์ไม่น่าจะปล่อยให้ผู้ร้องสอดรับเงินงวดต่อ ๆ ไปแทนโจทก์อีก แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ให้ผู้ร้องสอดรับเงินติดต่อกันถึง 4 งวด ทั้ง ๆ ที่ระยะเวลานับตั้งแต่งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 ห่างกันเกือบ 1 ปี และไม่มีบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารจำเลย หากโจทก์เป็นเจ้าของเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ ซึ่งจะต้องโอนมาเข้าบัญชีของโจทก์จริงแล้ว โจทก์น่าจะขวนขวายเปิดบัญชีไว้ที่ธนาคารจำเลย การที่โจทก์นิ่งเฉยไม่ได้สนใจเช่นนี้ส่อแสดงว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอดมิใช่ของโจทก์เพราะโจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของผู้ร้องสอดในการรับจ้างก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับตามฟ้องเป็นของผู้ร้องสอด การที่จำเลยนำเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเช็คที่แท้จริงและโจทก์ตกลงให้กระทำได้เช่นนี้ แม้เช็คทั้งสี่ฉบับได้ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินก็ตามการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์..”
พิพากษายืน.

Share