แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสของธนาคาร ก. ทราบว่าธนาคารจะเปิดสำนักงานสาขารังสิตและสาขาจังหวัดอ่างทอง โจทก์จึงซื้อที่ดินในท้องที่ดังกล่าวไว้เป็นของตนเอง แล้วขายต่อให้ธนาคาร ก. โดยมุ่งค้าหากำไร ที่โจทก์อ้างว่า ธนาคาร ก.มอบหมายด้วยวาจาให้โจทก์หาซื้อที่ดินแทนนั้นไม่น่าเชื่อเพราะธนาคาร ก. เป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทมหาชนการกระทำใด ๆ ย่อมต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อที่จะตรวจสอบได้ดังนั้น การประเมินของจำเลยที่ 4 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าจึงชอบแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มิได้ประกอบธุรกิจการค้าที่ดิน ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้า จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้า ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ที่สั่งให้โจทก์เสียภาษีจำนวน574,805.35 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6371 และ6723 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และโฉนดเลขที่9741 ตำบลตลาดหลวง อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง แล้วขายให้ธนาคารกสิกรไทยในราคาสูงกว่าที่โจทก์ซื้อมาเป็นเงิน 336,000 บาทเป็นเงินได้พึงประเมิน โจทก์มิใช่ตัวแทนของธนาคารกสิกรไทยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า โจทก์เป็นตัวแทนซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6371 และ 6723ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินโฉนดเลขที่ 9741 ตำบลตลาดหลวง อำเภอเมืองอ่างทองจังหวัดอ่างทอง ให้แก่ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นตัวการหรือไม่โจทก์นำสืบอ้างว่า ธนาคารกสิกรไทย จะเปิดสำนักงานสาขาที่รังสิตและที่จังหวัดอ่างทอง จึงสั่งให้โจทก์ไปหาซื้อที่ดินทั้งสองแห่งดังกล่าวเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานสาขา แต่ปรากฏตามคำเบิกความของตัวโจทก์ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า การที่ธนาคารกสิกรไทยมอบหมายให้โจทก์ไปหาซื้อที่ดินแทนธนาคารนั้น เป็นการมอบหมายด้วยวาจา ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและในรายงานการประชุมของธนาคารเกี่ยวกับการซื้อที่ดินดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุว่ามอบหมายให้โจทก์เป็นผู้ซื้อแทน โดยโจทก์อ้างว่าเหตุที่ไม่มีการมอบหมายเป็นหนังสือก็ดีไม่ได้ระบุในรายงานการประชุมว่าให้โจทก์เป็นผู้ซื้อแทนก็ดีก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขายทราบว่าธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ซื้อเพราะมิฉะนั้นผู้ขายจะเกี่ยงขายในราคาแพงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่มีเหตุผลให้รับฟัง เพราะธนาคารกสิกรไทยเป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทมหาชน การกระทำใด ๆย่อมต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อที่จะตรวจสอบได้ ไม่น่าเชื่อว่าธนาคารจะสั่งการให้โจทก์ไปซื้อที่ดินแทนด้วยวาจา ทั้งหากมีการมอบอำนาจเป็นหนังสือระหว่างกรรมการผู้จัดการของธนาคารกับโจทก์ก็เป็นการกระทำภายในของธนาคาร ซึ่งผู้ขายไม่มีโอกาสจะทราบได้ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะมอบหมายกันด้วยวาจา ยิ่งกว่านั้นการที่โจทก์ไปซื้อที่ดินที่จังหวัดอ่างทองแทนธนาคารกสิกรไทยโจทก์ต้องกู้เงินจากธนาคารโดยเสียดอกเบี้ยด้วย ซึ่งโจทก์ไม่น่าจะยอมกระทำเช่นนั้นเพราะขณะที่โจทก์ซื้อที่ดินที่จังหวัดอ่างทองนั้นก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่า ธนาคารกสิกรไทยจะได้รับอนุญาตให้ตั้งสาขาที่จังหวัดอ่างทองหรือไม่ ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตโจทก์ก็ต้องรับที่ดินไว้เป็นของตนเอง โดยโจทก์ต้องรับภาระเสียดอกเบี้ยจากเงินที่กู้มาซื้อ นอกจากนี้ในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์กับเจ้าของที่ดินเดิมก็ได้มีข้อตกลงว่า ให้เจ้าของที่ดินเดิมโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่นที่โจทก์กำหนดก็ได้ ฉะนั้นถ้าหากโจทก์เป็นเพียงตัวแทนซื้อที่ดินแทนธนาคารกสิกรไทยจริงแล้วโจทก์ก็สามารถให้เจ้าของที่ดินเดิมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ธนาคารกสิกรไทยโดยตรงได้ แต่กลับปรากฏว่า เจ้าของที่ดินจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาโจทก์จึงจดทะเบียนโอนขายให้แก่ธนาคารกสิกรไทยอีกต่อหนึ่ง ซึ่งการกระทำดังกล่าวต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนถึงสองครั้ง ที่โจทก์อ้างว่าถ้าให้ผู้ขายเดิมโอนให้ธนาคารกสิกรไทยโดยตรง ผู้ขายเดิมอาจบิดพลิ้วไม่ยอมโอนให้นั้น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะได้มีการกำหนดเบี้ยปรับแก่เจ้าของที่ดินในกรณีที่บิดพลิ้วอยู่แล้วด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยมา ศาลฎีกาจึงไม่เชื่อว่าโจทก์จะเป็นตัวแทนซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแทนธนาคารกสิกรไทย แต่เชื่อว่าโจทก์ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสของธนาคารกสิกรไทยทราบว่าธนาคารจะเปิดสำนักงานสาขา จึงได้หาซื้อที่ดินไว้เป็นของตนเองแล้วขายต่อให้ธนาคารกสิกรไทย การประเมินของจำเลยที่ 4 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.