คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลที่จะจดทะเบียนรับรองบุตร หรือรับรองบุตรให้มีผลในกฎหมายได้ บุคคลนั้นจะต้องเป็นบิดาของเด็กด้วย มิฉะนั้นการรับรองก็ไม่เกิดผล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ด.ญ.กมลพันธ์ เป็นบุตรโจทก์เกิดด้วยนายกมล ชมเสวี สามีแต่มิได้จดทะเบียนการสมรส แต่นายกมลได้รับรอง ด.ญ.กมลพันธ์เป็นบุตร ด.ญ.กมลพันธ์จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายกมล ๆ ถึงแก่กรรมมีมรดกราคาประมาณ ๒ ล้านบาท มรดกอยู่ในความครอบครองดูแลของนางสาวบุตรี ก่อนนายกมลตาย ทั้งนายกมลได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ทั้งหมดให้ ด.ญ.กมลพันธ์ตามสำเนาท้ายฟ้อง
เมื่อวันที่ ๑ ก.พ. ๒๔๙๕ จำเลยได้ยื่นฟ้องเรียกมรดกของนายกมลจาก น.ส.บุตรี โดยอ้างว่าเป็นพี่ชายต่างมารดากับนายกมล โจทก์จึงมาฟ้องเพื่อให้ศาลบังคับมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับมรดก และให้ด.ญ. กมลพันธ์รับมรดกคนเดียว
จำเลยต่อสู้ว่านายกมลเป็นบุคคลวิกลจริตไม่รู้สึกผิดชอบ นายกมลไม่เคยมีภรรยาและไม่เคยมีบุตรจำเลยปฏิเสธลายเซ็นการรับรองบุตรและลายมือในพินัยกรรม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้ง
จำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจดทะเบียนรับรองบุตรตามประมวลแพ่งฯ มาตรา ๑๕๒๖ หรือการรับรองบุตรตามมาตรา ๑๕๒๗ ก็ดี จะต้องกระทำโดยบุคคลที่เป็นบิดาเด็ก ถ้าไม่ใช่บิดาแล้ว การจดทะเบียน หรือการรับรองบุตรนั้นก็หาทำให้เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาขึ้นมาไม่ ฯลฯ
จึงพิพากษาให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share