แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนขายบ้านให้โจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยขายบ้านให้โจทก์ สัญญาซื้อขายบ้านที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอมและเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทำสัญญาขายบ้านให้โจทก์แล้วจำเลยทำสัญญาเช่าบ้านด้วย แสดงเจตนาซื้อขายบ้านเสร็จเด็ดขาด เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ดังนี้แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้น แต่ที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยทำสัญญาขายบ้านให้แก่โจทก์แล้วทำสัญญาเช่าบ้านนั้นอาจทำให้จำเลยเสียสิทธิเป็นที่เสียหายหรือเป็นโทษแก่จำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาขายบ้านเลขที่ 14/50ของจำเลยให้แก่โจทก์ ได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้ว โจทก์แจ้งให้จำเลยจดทะเบียนการขายบ้านดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนการขายบ้านเลขที่ 14/50 ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาขายบ้านเลขที่ 14/50 ให้แก่โจทก์ สัญญาซื้อขายท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์อ้างว่าไม่มีสัญญากู้ยืม ให้จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายที่ยังไม่ได้กรอกข้อความและการซื้อขายบ้านตามที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดคู่สัญญาไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาขายบ้านให้โจทก์ได้รับชำระราคาไปแล้วและจำเลยทำสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวด้วย แสดงเจตนาซื้อขายบ้านกันเสร็จเด็ดขาดโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องร้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนการโอนไม่ได้พิพากษายกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่ได้ทำสัญญาขายบ้านและเช่าบ้านดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายบ้านและทำสัญญาเช่าบ้านรายพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่นั้น นางเพชราโจทก์เบิกความว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายบ้านพิพาทให้โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท และนายทวน กิ่งแก้ว บุตรจำเลยก็ได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินปลูกบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เป็นเงิน30,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ตามลำดับ เมื่อจำเลยขายบ้านพิพาทให้โจทก์แล้ว จำเลยไม่มีที่อยู่จึงได้ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านพิพาทให้โจทก์โดยเสียค่าเช่าในอัตราเดือนละ 7,000 บาทตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 หนังสือสัญญาการซื้อขายและหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวมีนายเนย ตางาม และนายวานิชชูศิลป์เชาว์ พยานโจทก์เบิกความต้องกันว่านายเนยเป็นผู้เขียนและเป็นพยานในสัญญา ส่วนนายวานิชเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานจำเลยและบุตรได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ ศาลฎีกาได้ตรวจเอกสารดังกล่าวแล้วปรากฏว่าเป็นแบบพิมพ์สำหรับกรอกข้อความ ลายมือและสีหมึกที่กรอกข้อความเป็นอย่างเดียวกัน เชื่อได้ว่าเขียนขึ้นในคราวเดียวกัน ทั้งจำเลยก็เบิกความรับว่าได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาการซื้อขายและหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวให้โจทก์ไว้จริง ที่จำเลยนำสืบว่าได้กู้เงินโจทก์ไป 70,000 บาท ได้ออกเช็คให้โจทก์ไว้เป็นประกันและลงลายมือชื่อในสัญญาซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความให้โจทก์ไว้ต่อมาโจทก์ได้มอบเช็คดังกล่าวให้นายมานิตย์ มาตยคุณ ฟ้องจำเลยและได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมผ่อนใช้เงินให้แก่นายมานิตย์ และโจทก์รับรองว่าจะไม่ฟ้องร้องจำเลยอีกนั้น นายมานิตย์ มาตยคุณ พยานจำเลยเบิกความว่า ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีเช็ค นายมานิตย์เป็นโจทก์ฟ้องเองโดยนางเพชรามิได้เป็นโจทก์ หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว จำเลยได้ชำระเงินตามสัญญาดังกล่าวให้แก่นายมานิตย์ทุกเดือน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายบ้านและทำสัญญาเช่าบ้านรายพิพาทให้แก่โจทก์จริง ที่โจทก์แก้ฎีกาว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาซื้อขายที่โจทก์นำมาฟ้องไม่ใช่สัญญาปลอมแต่พิพากษายกฟ้องโจทก์ในเหตุอื่นและมิได้พิพากษาบังคับจำเลยแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์คดีก็เป็นอันยุติจำเลยจะอุทธรณ์หรือฎีกาขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาปลอมย่อมไม่ชอบนั้น เห็นว่าแม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้น แต่ที่ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาขายบ้านให้แก่โจทก์แล้วทำสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวนั้นอาจทำให้จำเลยเสียสิทธิเป็นที่เสียหายหรือเป็นโทษแก่จำเลย ดังนั้น จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าวได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน