แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายพูดรบเร้าให้ ส.ทำบันทึกเรื่องที่ง.ลักวิทยุเทปของผู้เสียหายไป จำเลยว่าผู้เสียหายพูดไม่รู้เรื่องและตบหน้าผู้เสียหาย ผู้เสียหายลุกขึ้นถีบจำเลย พวกที่มาด้วยกันเข้าห้าม เมื่อผู้เสียหายเดินลงจากบ้านจำเลยไป จำเลยถือมีดปลายแหลมวิ่งไล่ฟันผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะด้านหลังได้รับอันตรายแก่กายสาหัส แม้มีดที่จำเลยใช้ฟันผู้เสียหายยาวประมาณ 12 นิ้ว ใบมีดกว้างประมาณ 3.9 เซนติเมตร และจำเลยฟันถูกศีรษะ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญแต่การที่จำเลยวิ่งไล่ฟันผู้เสียหายข้างหลัง จำเลยไม่มีโอกาสเลือกฟันได้ถนัด จำเลยฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวและมีโอกาสฟันซ้ำแต่ไม่ฟัน พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80ริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228, 80 จำคุก 12 ปี ของกลางริบจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่าวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมไม่มีด้าม ยาวประมาณ12 นิ้ว ใบมีดกว้างประมาณ 3.9 เซนติเมตร ฟันนายประสิทธิ์ทองดอนยอด ผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะด้านหลังได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ปรากฏตามผลรายงานการชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายภราดรทองดอนเปลี่ยน เป็นพยานโดยพยานทั้งสองเบิกความว่าวันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายไปดื่มสุราบนบ้านจำเลยผู้เสียหายกล่าวหาว่านายงามทองเต่าหมก ลักวิทยุเทปของผู้เสียหายไปนายงามรับว่าเอาไปขายแล้วจะใช้เงินให้ ผู้เสียหายจึงไปตามนายสำราญ ทองเต่าหมกผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลหนองหลุม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ให้มาเขียนบันทึก นายสำราญบอกว่าจะทำให้ในวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายพูดรบเร้าให้นายสำราญทำเดี๋ยวนั้นหลายครั้ง จำเลยหาว่าผู้เสียหายพูดไม่รู้เรื่องและได้ตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้งผู้เสียหายลุกขึ้นถีบจำเลย พวกที่มาด้วยเข้าห้าม ผู้เสียหายลงจากบ้านจำเลยเดินไปห่างบันไดบ้านประมาณ 2 เมตร เหลียวไปเห็นจำเลยเดินถือมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุต ตามมาและแทงตรงหน้าอกขวาผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลบทันแล้วหันหลังจะวิ่งหนีจำเลยใช้มีดดังกล่าวฟันผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะด้านหลังข้างขวาล้มลงหมดสติไป เห็นว่าขณะที่ผู้เสียหายหันไปดูจำเลยเห็นจำเลยอยู่ห่างเพียง 1 เมตร ถ้าจำเลยแทงผู้เสียหายจริง ๆ ในระยะห่างเพียงเล็กน้อยเท่านี้ จำเลยน่าจะแทงถูกได้ความว่าขณะนั้นผู้เสียหายมีอาการมึนเมา ไม่น่าจะหลบได้ทัน นายทวีชัยทองดอนเปลี่ยน พยานโจทก์อีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่า จำเลยถือมีดปลายแหลมมาหยุดยืนห่างผู้เสียหายประมาณ1 เมตร ขณะนั้นผู้เสียหายยืนหันหน้าไปทางจำเลย จำเลยได้ใช้มีดดังกล่าวแทงผู้เสียหาย คำเบิกความดังกล่าวจึงขัดกับคำเบิกความของผู้เสียหายและนายภราดร ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายและนายภราดรมีน้ำหนักน้อยลง นอกจากนี้ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ใช้มีดปลายแหลมฟันผู้เสียหายที่ศีรษะครั้งเดียวพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นนี้ฟังได้ว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมฟันผู้เสียหายเพียง 1 ครั้ง ฎีกาจำเลยส่วนนี้ฟังขึ้น มีปัญหาต่อไปว่าจำเลยกระทำโดยป้องกันตัวหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยกำลังเดินไปแจ้งนายสำราญว่าผู้เสียหายพกพาอาวุธปืนและก่อการวิวาทผู้เสียหายวิ่งเข้ามาจะชกต่อยจำเลยจึงปัดมีดไปถูกผู้เสียหาย1 ที เห็นว่าผู้เสียหายมีบาดแผลที่ศีรษะด้านหลังข้างขวา ไม่ใช่ด้านหน้า ถ้าผู้เสียหายวิ่งเข้าไปหาจำเลย ผู้เสียหายน่าจะถูกหน้า คำเบิกความของจำเลยจึงไม่มีเหตุผล ไม่อาจรับฟังมีดข้างหน้า คำเบิกความของจำเลยจึงไม่มีเหตุผล ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยป้องกันตัว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น แม้จะได้ความว่ามีดปลายแหลมที่จำเลยใช้ฟันผู้เสียหายยาวประมาณ 12 นิ้วใบมีดกว้างประมาณ 3.9 เซนติเมตร และจำเลยฟันถูกศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แต่การที่จำเลยวิ่งไล่ฟันผู้เสียหายข้างหลังจำเลยไม่มีโอกาสเลือกฟันได้ถนัด ได้ความจากนายทวีชัย ทองดอนเปลี่ยนพยานโจทก์ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่า หลังจากที่ผู้เสียหายถูกฟันแล้วนายวิทย์ รักษาธูป กับนายภราดร ทองดอนเปลี่ยนเข้าประคองผู้เสียหายส่วนตัวจำเลยยังไม่มีใครเข้าไปดึงหากจำเลยจะฟันซ้ำก็ฟันได้ ต่อมานางยม ภรรยาจำเลยกับนายอ่ำคงเพชรดี เข้ามาดึงตัวจำเลยไป ที่นายวิทย์ รักษาธูปว่าถ้าไม่มีคนห้ามแล้ว จำเลยคงจะฟันซ้ำอีกก็เป็นการคาดคะเนของพยานเองยังไม่พอฟังว่าจำเลยตั้งใจจะเข้าฟันผู้เสียหายอีก ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 วางโทษจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์