คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4580/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ที่ขอแก้ไขจากคำว่า ‘เงินมัดจำ’ เป็น’เงินที่จ่ายล่วงหน้า’ เป็นถ้อยคำที่ก่อให้เกิดผลตามกฎหมายขึ้นแตกต่างกัน ไม่ใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องหลังจากวันชี้สองสถานแล้ว จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้โจทก์แก้
ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะดำเนินการชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวนี้เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ซึ่งห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาในระหว่างพิจารณาเว้นแต่คู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านไว้ คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
ประเด็นแห่งคดีที่ว่า โจทก์ได้ขยายเวลาให้แก่จำเลยนั้นไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งชี้สองสถานของศาลชั้นต้นอันเกี่ยวกับประเด็นข้อนี้ไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อกำหนดประเด็นดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำในการจ้างทำของคืนแล้วขอแก้ฟ้องอ้างว่าเป็นเงินที่จ่ายล่วงหน้าซึ่งศาลไม่อนุญาตแม้ขอใหม่ ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ใช่เงินมัดจำ แต่เป็นเงินที่จ่ายล่วงหน้า ก็พิพากษาให้คืนได้ไม่เป็นการนอกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยขนย้ายเครื่องจักร หม้อน้ำ ถังน้ำ ปล่องไฟ และอุปกรณ์อื่นของโจทก์ไปติดตั้ง ณ สำนักงานแห่งใหม่โดยตกลงราคากันไว้แล้ว แต่ต่อมาจำเลยยังมิทันได้ปฏิบัติงานก็ขอค่าจ้างเพิ่มขึ้น โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและทวงถามให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์จ่ายล่วงหน้าให้จำเลยไป ๔๔,๔๐๐ บาท แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอคิดเป็นค่าดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันบอกเลิกสัญญารวมเป็นเงินดอกเบี้ย ๖,๙๔๒ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๕๑,๓๔๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๔๔,๔๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ในชั้นแรกจำเลยเสนอราคาค่าขนย้ายเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์ต่อโจทก์เป็นเงิน ๑๔๔,๐๐๐ บาท โจทก์จึงได้วางเงินมัดจำแก่จำเลย แต่โจทก์ไม่สามารถจัดเตรียมที่แห่งใหม่ที่จะเคลื่อนย้ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ไปติดตั้งให้เป็นที่เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันได้จำเลยจึงมีสิทธิเพิ่มราคาต่อโจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๐ ของค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ได้แทนการเลิกสัญญาและริบมัดจำ จำเลยเร่งรัดให้โจทก์พิจารณาข้อเสนอเพิ่มค่าจ้างของจำเลย โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนเงินมัดจำ จำเลยถือว่าโจทก์ผิดสัญญา และริบเงินมัดจำเพราะจำเลยต้องตระเตรียมงานและเสียค่าใช้จ่ายไปมาก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๕๑,๓๔๒ บาทและดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๔๔,๔๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๒๒,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา ขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อแรกของจำเลยที่ฎีกาโต้แย้งว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ที่ขอแก้ไขจากคำว่า”เงินมัดจำ” เป็น “เงินที่จ่ายล่วงหน้า” เป็นถ้อยคำที่ก่อให้เกิดผลตามกฎหมายขึ้นแตกต่างกัน ไม่ใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องหลังจากวันชี้สองสถานแล้ว จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ จึงไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ตามขอ
ฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่าเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยจำนวน ๔๔,๐๐๐ บาท เป็นเงินมัดจำนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินค่าขนย้ายเครื่องจักรที่โจทก์จ่ายล่วงหน้าไว้ให้จำเลย มิใช่เงินมัดจำดังจำเลยกล่าวอ้าง
ฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นแห่งคดีว่า โจทก์ได้ขยายเวลาให้แก่จำเลยจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒ นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะไม่ได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ก็ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้นั้น เห็นว่าเป็นอำนาจองศาลชั้นต้นที่ดำเนินการชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวนี้เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาซึ่งห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาในระหว่างพิจารณา เว้นแต่คู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านไว้ คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ในกรณีของจำเลยเห็นว่าจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งชี้สองสถานของศาลชั้นต้นอันเกี่ยวกับประเด็นข้อดังกล่าวข้างต้นไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อกำหนดประเด็นดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ และไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างงวดแรกจำนวน ๔๔,๔๐๐ บาท ที่โจทก์ชำระล่วงหน้าให้จำเลยแก่โจทก์พร้อมด้วยค่าเสียหายนั้น เห็นว่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเลิกสัญญาจ้าง เอกสารหมาย จ.๓ กันแล้ว โดยจำเลยยังมิได้ทำการงานใด ๆ ให้โจทก์เลย จำเลยจึงต้องมีหน้าที่คืนเงินจำนวน ๔๔,๔๐๐ บาท ที่จำเลยรับเป็นค่าจ้างล่วงหน้าไว้ให้แก่โจทก์ แม้จะไม่ใช่เงินมัดจำก็ตาม และไม่เป็นการนอกฟ้องแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๔ ให้จำเลยคืนภายในกำหนด ๗ วัน นับจากวันที่ลงวันที่ในหนังสือทวงถามและปรากฏว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๔ ตามใบตอบรับทางไปรษณีย์เอกสารหมาย จ.๑๐ แล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่คืนเงินดังกล่าวให้โจทก์ภายใน ๗ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป เมื่อจำเลยไม่ยินยอมคืนเงินดังกล่าวให้โจทก์ตามกำหนดข้างต้นจึงถือว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้ให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๔ และจำเลยต้องใช้ดอกเบี้ยเป็นค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๔๔,๔๐๐ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share