คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4564/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยแบ่งขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์กับพวก จำเลยสัญญาว่าจะแบ่งที่ดินของจำเลยทำเป็นทางเข้าออกของที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะอันถือได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนการซื้อขายที่ดินของจำเลย จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญา ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ใช่สิทธิตามกฎหมายอันเกิดจากกรณีที่ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ศาลจึงไม่มีอำนาจในการกำหนดสถานที่และวิธีการทำทางโดยต้องคำนึงถึงที่ดินจำเลยให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเข้าออกและรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกขวางทางเข้าออก ถือได้ว่าในส่วนคำขอให้รื้อถอนบ้านเรือนเป็นคดีฟ้องขอให้ขับไล่ แม้บ้านที่ปลูกขวางทางเข้าออกเป็นบ้านของบุตรสาวจำเลย ก็ถือว่าเป็นวงศ์ญาติของจำเลย เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี และศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปคำพิพากษาดังกล่าวย่อมใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนที่ดินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 145

ย่อยาว

โจทก์ทั้งแปดฟ้องว่า โจทก์ทั้งแปดต่างเป็นเจ้าของที่ดินจำนวน7 แปลง ซึ่งจำเลยแบ่งขายให้ โดยจำเลยตกลงด้วยวาจาว่าจะยกที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งแปดมีความกว้าง 5 วา ตลอดแนวจากทางสาธารณะเพื่อทำทางเข้าออกและใช้ประโยชน์ร่วมกันและจำเลยยังทำหนังสือสัญญายกที่ดินให้ไว้แก่โจทก์ทั้งแปดด้วย ต่อมาปี 2535 จำเลยได้สร้างบ้าน 1 หลัง ปิดกั้นทางเข้าออกดังกล่าว และขุดหน้าดินไปถมเป็นคันดินกว้างประมาณ 1 เมตร เพื่อให้โจทก์ทั้งแปดใช้เป็นทางเข้าออก ทำให้ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดตกอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งกีดขวางซึ่งสร้างปิดกั้นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันตามสัญญา ซึ่งเป็นทางจำเป็นระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้งแปดกับทางสาธารณะและไม่ให้กั้นอีกต่อไป ถ้าจำเลยไม่รื้อก็ให้โจทก์ทั้งแปดเป็นผู้รื้อเอง โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นกว้าง 5 วา ตลอดแนวจากทางสาธารณะจนถึงที่ดินของโจทก์ทั้งแปดทุกแปลง ถ้าจำเลยไม่กระทำให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงที่จะยกที่ดินของจำเลยให้โจทก์ทั้งแปดเป็นทางกว้าง 5 วา ตลอดแนวจากทางสาธารณะ เพียงแต่ให้โจทก์ทั้งแปดอาศัยเดินผ่านในที่ดินของจำเลยกว้าง 1 วา จำเลยไม่เคยทำหนังสือสัญญายกที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งแปด บ้านตามฟ้องเป็นของบุตรจำเลยซึ่งปลูกเว้นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะให้โจทก์ทั้งแปดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านหรือสิ่งกีดขวางที่สร้างปิดกั้นทางพิพาทกว้าง 5 วา ในที่ดินของจำเลยและห้ามมิให้ปิดกั้นต่อไป คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทั้งแปดเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 22667 ถึง 22673 รวม 7 แปลง ซึ่งมีเขตที่ดินเรียงติดต่อเป็นแนวเดียวกัน โดยที่ดินทั้งหมดแบ่งแยกออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 18538 ของจำเลยซึ่งยังคงเหลืออยู่คิดเป็นเนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 96 ตารางวา พื้นที่ดินที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่อยู่ด้านในถัดจากที่ดินของโจทก์ทั้งแปดเข้าไป แต่มีส่วนหนึ่งเป็นแนวยาวกว้างประมาณ10 เมตร ผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งแปดออกไปจดกับทางสาธารณะบนที่ดินของจำเลยส่วนที่ติดกับทางสาธารณะมีบ้านของบุตรสาวจำเลยปลูกอยู่ เป็นเหตุให้ที่ดินจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะกว้างไม่ถึง 3 เมตร

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องทำให้ที่ดินของจำเลยส่วนที่ผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งแปดเป็นทางกว้าง 5 วายาวไปจนจดทางสาธารณะเพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งแปดหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยแบ่งขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 3 โจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 5 และนายสะอาดกับพวกนั้น จำเลยสัญญาว่าจำเลยจะแบ่งที่ดินของจำเลยทำเป็นทางเข้าออกของที่ดินของโจทก์ทั้งแปดกว้าง 5 วา ออกสู่ทางสาธารณะ อันถือได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนการซื้อขายที่ดินของจำเลย จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญา ซึ่งโจทก์ทั้งแปดมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมายอันเกิดจากกรณีที่ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดถูกที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 อันจะทำให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดสถานที่และวิธีการทำทางโดยต้องคำนึงถึงที่ดินจำเลยให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า บ้านที่ปลูกขวางทางเข้าออกดังกล่าวเป็นบ้านของบุตรสาวจำเลย ไม่ใช่บ้านของจำเลย จำเลยจึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาไปรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเข้าออกและรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกขวางทางเข้าออก ถือได้ว่าในส่วนคำขอให้รื้อถอนบ้านเรือนเป็นคดีฟ้องขอให้ขับไล่ แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านดังกล่าวเป็นบ้านของบุตรสาวจำเลย ก็ถือว่าเป็นวงศ์ญาติของจำเลย เมื่อโจทก์ทั้งแปดเป็นฝ่ายชนะคดีและศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไป คำพิพากษาดังกล่าวย่อมใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนที่ดินนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 145

พิพากษายืน

Share