คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4559/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย โดยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้พนักงานสอบสวนฟัง พนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้ที่คิดตั้งข้อหาขึ้นเพื่อดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการรับแจ้งความ ครั้งแรกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหากระทำอนาจารและทำร้ายร่างกาย แต่เมื่อพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปรวมทั้งสอบปากคำผู้เสียหายแล้ว เห็นว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดในข้อหากรรโชกอีกในคราวเดียวกันด้วย พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาได้
แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่ปรากฏว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจอนุญาตให้ฎีกาได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 278, 295, 337
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 278, 295 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามกรรโชก จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารและฐานทำร้ายร่างกายเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยโดยเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้พนักงานสอบสวนฟังเท่านั้น และพนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้ที่คิดตั้งข้อหาขึ้นเพื่อดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาคือจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการรับแจ้งความ ซึ่งครั้งแรกพนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อหากระทำอนาจารและทำร้ายร่างกายตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา แต่เมื่อพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปรวมทั้งสอบปากคำผู้เสียหายแล้ว เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหาคือจำเลยได้กระทำความผิดในข้อหาอื่น ๆ อีกในคราวเดียวกันนั้นด้วย พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาคือจำเลยในคดีนี้ได้ดังปรากฏหลักฐานตามบันทึกการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในแผ่นที่ 2 ที่พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยอีกข้อหาหนึ่งว่าพยายามกรรโชกทรัพย์ซึ่งจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อหาและลงลายมือชื่อรับรองไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยนั้น เมื่อพิจารณาข้อความและเนื้อหาทั้งหมดดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นโดยพยายามเบี่ยงเบนให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงแล้วก็ตาม แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ย่อมไม่อาจอนุญาตให้ฎีกาได้ จึงเป็นฎีกาต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ในฎีกาข้อนี้

Share