คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4550/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สำนักงานใหญ่ของโจทก์คำนวณเฉลี่ยรายจ่ายต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เงินที่จ่ายในการหยุดพักร้อน เงินบำนาญพนักงานชาวต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและตรวจสำนักงานสาขาค่าโฆษณาทั่วไป ค่าเครื่องเขียนและแบบพิมพ์ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ค่าใช้จ่ายอาคารสำนักงานใหญ่ ค่าตอบแทนกรรมการค่าตรวจสอบบัญชี เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยเพราะคิดว่าเป็นรายจ่ายที่เกิดประโยชน์แก่กิจการสาขาในประเทศไทยด้วยแต่เมื่อโจทก์เพียงแต่ใช้หลักเกณฑ์เฉลี่ยที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่กิจการของสาขาในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างไรและเป็นจำนวนเท่าใดกรณีเช่นนี้โจทก์จะนำค่าใช้จ่ายนั้นมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิมิได้ และต้องนำไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณภาษี โจทก์ได้ส่งเงินค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ได้รับเฉลี่ยไปยังสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ จึงเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย อันต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิอีกส่วนหนึ่งด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้งดหรือลดเรียกเก็บเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับในกรณีที่ศาลเห็นว่าโจทก์ต้องชำระค่าภาษีเพิ่มด้วย
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนที่เมืองฮ่องกงธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ จำกัด เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ประกอบกิจการธนาคารในประเทศไทย โจทก์มีสาขาประกอบกิจการธนาคารอยู่หลายประเทศ ในการปฏิบัติและบริหารงานของสำนักงานใหญ่หลายอย่างเป็นการช่วยเหลือกิจการสาขาต่าง ๆ ของโจทก์ แต่ไม่สามารถแยกให้ชัดเจนว่าค่าใช้จ่ายส่วนใดเกิดประโยชน์แก่สาขาใดเป็นจำนวนเงินเท่าใดสำนักงานใหญ่ของโจทก์จึงใช้วิธีการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายสาขาต่าง ๆ ของโจทก์ รวมทั้งสาขาในประเทศไทยด้วย แล้วให้สำนักงานสาขาต่าง ๆ ส่งเงินเฉลี่ยรายจ่ายไปให้สำนักงานใหญ่ของโจทก์ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2524 และ พ.ศ. 2525สาขาของโจทก์ในประเทศไทยได้ส่งเงินเฉลี่ยค่าใช้จ่ายไปให้สำนักงานใหญ่ของโจทก์เป็นเงิน 2,357,048 บาท และ 2,390,104 บาท ตามลำดับเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่สาขาในประเทศไทยได้รับการเฉลี่ยและส่งให้ไปเป็นค่าใช้จ่ายบริหารของสำนักงานใหญ่มีค่าใช้จ่ายเงินเดือนสำนักงานใหญ่ เบี้ยเลี้ยง เงินที่จ่ายในการหยุดพักร้อนเงินบำนาญพนักงานชาวต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและตรวจสำนักงานสาขาของสำนักงานใหญ่ ค่าโฆษณาทั่วไป ค่าเครื่องเขียนและแบบพิมพ์ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ค่าใช้จ่ายอาคารสำนักงานใหญ่ ค่าตอบแทนกรรมการ และค่าตรวจสอบบัญชี
พิเคราะห์แล้วข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์จำเลยว่า มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คู่ความโต้เถียงเกี่ยวกับจำนวนเงินที่สาขาของโจทก์ในประเทศไทยส่งไปให้สำนักงานใหญ่ที่เมืองฮ่องกงเงินจำนวนนี้จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของสาขาของโจทก์ในประเทศไทยได้หรือไม่ และถือเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยหรือไม่ เห็นว่า “เงินได้ที่โจทก์จะต้องเสียภาษีคือกำไรสุทธิซึ่งคำนวณได้จากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการในการคำนวณกำไรสุทธิ รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(14) มิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ฉะนั้น ปัญหาจึงมีว่ารายจ่ายสำนักงานใหญ่ของโจทก์เป็นรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะหรือไม่รายจ่ายต่าง ๆ ของโจทก์มีเงินเดือนสำนักงานใหญ่ เบี้ยเลี้ยง เงินที่จ่ายในการหยุดพักร้อน เงินบำนาญพนักงานชาวต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและตรวจสำนักงานสาขาของสำนักงานใหญ่ ค่าโฆษณาทั่วไปค่าเครื่องเขียนและแบบพิมพ์ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ค่าใช้จ่ายอาคารสำนักงานใหญ่ ค่าตอบแทนกรรมการ ค่าตรวจสอบบัญชีค่าใช้จ่ายเหล่านี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าได้ใช้จ่ายเพื่อประโยชน์แก่กิจการของสาขาในประเทศไทยอย่างไร เพียงแต่โจทก์ใช้หลักเกณฑ์ในการเฉลี่ยโดยนำรายได้ของสำนักงานสาขาในประเทศไทยมาหารด้วยรายได้รวมของสำนักงานใหญ่และทุกสาขาของโจทก์ แล้วคูณด้วยรายจ่ายส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานซึ่งสำนักงานใหญ่ได้จ่ายไปและถือว่าผลลัพธ์เป็นรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะ เป็นหลักเกณฑ์ที่โจทก์ถือปฏิบัติและกำหนดเอาเองโดยไม่มีหลักฐานใดชี้ให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะจำนวนเท่าใด เพียงแต่คิดว่ารายจ่ายเหล่านี้เกิดประโยชน์แก่สาขาในประเทศไทยด้วยเท่านั้น กรณีเช่นนี้มิใช่เป็นรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะจะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิไม่ได้ เมื่อโจทก์นำค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ จึงต้องนำยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณเสียภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ๆ เป็นผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามจำนวนค่าใช้จ่ายที่นำกลับไปรวมนั้น เมื่อสาขาของโจทก์ในประเทศไทยส่งเงินส่วนเฉลี่ยค่าใช้จ่ายซึ่งมิให้ถือเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะไปยังสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินรายได้ซึ่งจะต้องนำกลับเข้ามารวมคำนวณหากำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และต้องถือว่าสาขาของโจทก์ในประเทศไทยได้จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย ฉะนั้น โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิ อีกส่วนหนึ่งด้วยการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share