คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยในคดีนี้ให้ออกจากตึกพิพาทในฐานะบริวารจำเลยในคดีอื่น ศาลสั่งว่าจำเลยไม่ใช่บริวาร โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ตามสัญญาเช่นนั้น ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยให้การว่าเช่าตึกพิพาทเพื่ออยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโจทก์ย่อมนำสืบหักล้างข้อต่อสู้ของจำเลยได้ว่า จำเลยมิได้ใช้ตึกพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยหากแต่ทำเป็นโรงโสเภณีจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504
เมื่อจำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนและยังสืบไม่เสร็จ โจทก์ย่อมอ้างพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวของโจทก์ ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นผู้เช่าจากนายเกียงผู้เช่าที่ดินโจทก์ปลูกตึกแถวและยกกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ จำเลยเช่าเพื่อทำการค้ามีกำหนดเกินกว่า 3 ปี แต่มิได้จดทะเบียน สัญญาเช่าจึงมีผลบังคับเพียง 3 ปี พ้นกำหนดแล้วโจทก์บอกเลิกการเช่าจำเลยก็ไม่ยอมออก ทำให้โจทก์เสียหาย

จำเลยสู้ว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับนายเกียงมีกำหนด10 ปี โดยโจทก์รู้เห็นยินยอม และจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ โจทก์จึงผูกพันตามสัญญาเช่าที่จำเลยกับนายเกียงได้กระทำต่อกัน สัญญายังไม่สิ้นอายุ และจำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ฟ้องซ้ำจำเลยเช่าอยู่อาศัย จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาขับไล่จำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายเกียง แซ่โง้ว เป็นสัญญาต่างตอบแทน เพราะจำเลยได้เสียเงินค่าก่อสร้างให้กับนายเกียง แซ่โง้ว เพื่อประโยชน์ที่จะได้เช่ามีกำหนด 10 ปี เมื่อโจทก์ได้รับช่วงสิทธิของนายเกียง สัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายเกียงจึงผูกพันโจทก์ด้วยนั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะจำเลยไม่มีหลักฐานการเช่ามาแสดง แต่ถึงจะมี หากไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การเช่านั้นคงใช้ได้เพียง 3 ปี เมื่อครบ 3 ปี และโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้

จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่าไม่เป็นเพราะในคดีก่อนมีประเด็นว่าจำเลยเป็นบริวารของนายเกียง แซ่โง้ว หรือไม่ ส่วนคดีนี้มีประเด็นเป็นเรื่องขอให้ขับไล่ตามสัญญาเช่าซึ่งได้บอกเลิกแล้วประเด็นที่ได้วินิจฉัยต่างกัน

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยใช้ตึกพิพาทเป็นช่องโสเภณีจึงนำสืบในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ เห็นว่า เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าเช่าเพื่ออยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโจทก์ย่อมนำสืบหักล้างข้อต่อสู้ของจำเลยได้ว่าจำเลยมิได้ใช้ตึกพิพาทเป็นที่อยู่อาศัย หากแต่ทำเป็นโรงหญิงโสเภณี จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504

ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ควรให้โจทก์อ้างพยานเพิ่มเติม เห็นว่าเมื่อจำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน และยังสืบไม่เสร็จ โจทก์ย่อมอ้างพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรค 2

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share