แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความของสัญญาค้ำประกันไว้จึงต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 โดยเริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 169 ซึ่งได้แก่วันเวลาแรกที่จำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย หาใช่นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2524 จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ได้ยักยอกเงินที่เก็บจากลูกค้าของโจทก์ไปเป็นจำนวนเงิน 6,572.80 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ให้ร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 ให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2513 แต่ได้บอกกล่าวเลิกสัญญาต่อโจทก์แล้ว และโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเมื่อพ้นกำหนด 10 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน6,572.80 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า สัญญาค้ำประกันซึ่งมีอายุความ 10 ปีนั้น เริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาหรือวันที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ เห็นว่าสัญญาค้ำประกันมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องถือว่ามีอายุความจะต้องเริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169ซึ่งได้แก่วันเวลาแรกที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่นับแต่วันทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินโจทก์ในวันที่ 3 มิถุนายน 2524 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้นคิดถึงวันที่ 11 มกราคม 2528 อันเป็นวันที่โจทก์ยื่นฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ”
พิพากษายืน