แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลย และศาลได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ เพราะแม้จะอุทธรณ์ฎีกาในคดีเดิมยังต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
เมื่อที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยด้วยกันเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มารดาโจทก์ได้ยกที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕ ให้โจทก์ครอบครอง แต่กลับโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๒-๓ ในโฉนด เพราะสำคัญผิด โจทก์ครอบครองมากว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยที่ ๒-๓ ได้เอาที่ดินแปลงนี้ไปจำนองไว้กับจำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครอง และให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒-๓ เสีย
จำเลยให้การว่าได้จำนองที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕ โดยสุจริต โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๒-๓ เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้พิพากษาตามยอมให้ที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕ เป็นของจำเลยที่ ๒-๓ ปรากฏตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๙๗/๒๕๐๓ และโจทก์เคยฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ศาลได้พิพากษายกฟ้องอีก ปรากฏตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๙๕/๒๕๐๕ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์และจำเลย ที่ ๒-๓ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่า ที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕ เป็นของจำเลย ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดตามคดีแดงที่ ๑๙๗/๒๕๐๓ ของศาลจังหวัดลพบุรีแล้ว คำพิพากษานี้ย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ เพราะแม้จะอุทธรณ์ฎีกาในคดีเดิมยังต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๔๘๕ ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒-๓
พิพากษายืน.