คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้วพวกของจำเลยได้ฆ่าผู้ตายนั้น ถือได้ว่าการตายของผู้ตายเป็นผลมาจากการที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคท้าย

(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2561)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 92, 199, 288, 289, 313 เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามกฎหมาย และริบของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 313 (2) (3) วรรคท้าย, 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 83 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไป โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด และหน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลนั้นเป็นเหตุให้บุคคลนั้นถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม ฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพผู้ตายเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุกคนละ 1 ปี สำหรับความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้นั้น ไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ได้อีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 ส่วนความผิดฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพผู้ตายเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน คำให้การในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต ฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพผู้ตายเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 เดือน 20 วัน จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 8 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิตสถานเดียว (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)) ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด และรถกระบะ 2 คัน ของกลาง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคท้าย จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 86 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่หน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังนั้นถึงแก่ความตาย และความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้เป็นความผิดสองกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่หน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังนั้นถึงแก่ความตายและฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้เป็นความผิดสองกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เช่นเดียวกัน ไม่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ และฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพผู้ตายเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย สำหรับโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 นายชี ฮุน ผู้ตายเดินทางจากประเทศมาเลเซียมาท่าอากาศยานหาดใหญ่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 มีคนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายติดต่อไปยังนางฮุยหรือฮวย ผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายที่ประเทศมาเลเซียอ้างว่าเป็นล่ามให้กับคนร้ายและบอกว่าผู้ตายถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ คนร้ายเรียกเงิน 8,000,000 บาท ผู้เสียหายต่อรองจนตกลงกันที่ 1,500,000 บาท วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้เสียหายโอนเงิน 500,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากของบริษัทสินทวีทัวร์ จำกัด ที่ธนาคารเมย์แบงก์ แต่คนร้ายแจ้งผู้เสียหายว่าเบิกเงินไมได้ ให้ผู้เสียหายไปถอนเงินออกมา ผู้เสียหายจึงเดินทางจากประเทศมาเลเซียมาเบิกเงิน คนร้ายติดต่อให้ผู้เสียหายนำเงินทั้งหมดไปวางไว้ที่บริเวณใกล้ปากซอยขจรอุทิศ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แล้วให้ผู้เสียหายไปรอรับผู้ตายที่ด่านนอก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ผู้เสียหายนำเงิน 1,500,000 บาท ไปวางไว้บริเวณปากซอยขจรอุทิศ แล้วไปรอรับผู้ตายตามที่คนร้ายบอก แต่คนร้ายไม่นำผู้ตายมาส่งให้ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้เสียหายจึงไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ต่อมาวันที่ 19 มีนาคม 2557 พระภิกษุสุวัฒน์ พระลูกวัดธรรมประดิษฐ์หรือวัดดอนคันตก ตำบลคูขุด อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พบอวัยวะบางส่วนของมนุษย์โผล่มาจากพื้นดินทางทิศเหนือของเกาะบรรทมหรือเกาะทอมห่างจากวัดประมาณ 1 กิโลเมตร จึงแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรสทิงพระ วันที่ 20 มีนาคม 2557 พระภิกษุสุวัฒน์นำเจ้าพนักงานตำรวจไปยังบริเวณที่พบศพ ปรากฏว่าศพมีบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบที่ลำคอด้านหน้ายาว 15 เซนติเมตร บาดแผลฉีกขาดที่หน้าอกซ้ายใกล้รักแร้ทะลุเข้าช่องอกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร กระดูกซี่โครงด้านหน้าข้างซ้าย ซี่ที่ 2 ถึงที่ 5 หัก แพทย์สันนิษฐานว่าสาเหตุการตายเนื่องจากการบาดเจ็บของอวัยวะบริเวณคอจากบาดแผลถูกของมีคม เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรสทิงพระติดต่อให้ผู้เสียหายมาดูศพ ผู้เสียหายเดินทางมาดูศพ เสื้อผ้าและรองเท้าของศพ แล้วยืนยันว่าเสื้อผ้าและรองเท้าเป็นของผู้ตาย และขอให้พนักงานสอบสวนนำสารพันธุกรรม (ดี เอ็น เอ) ของนายยอง ชอน บุตรชายของผู้ตายไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับ ดี เอ็น เอ ของผู้ตาย ต่อมาพนักงานสอบสวนติดต่อผู้เสียหายมาพบและแจ้งผลการตรวจ ดี เอ็น เอ ว่า ผลการตรวจเปรียบเทียบ ดี เอ็น เอ แพทย์ยืนยันว่า ผู้ตายคือนายชี ฮุน พันตำรวจเอกศักดา ทำการสืบสวนและสอบสวนพบว่ามีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างนายศักดิ์เดชาหรือบังเหล็บ จำเลยที่ 1 และที่ 2 วันที่ 17 เมษายน 2557 พันตำรวจเอกศักดาพร้อมพวกเดินทางไปบ้านพักจำเลยที่ 1 ทำการตรวจค้นและยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่และรถยนต์ แล้วจำเลยที่ 1 พาไปตรวจค้นบ้านภริยาจำเลยที่ 2 ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่และรถยนต์ พันตำรวจเอกศักดาสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ให้ถ้อยคำได้ความว่า คนร้ายรายนี้มีนายบังเหล็บและจำเลยทั้งสาม พันตำรวจเอกศักดาให้จำเลยที่ 1 ติดต่อให้จำเลยที่ 3 ไปพบที่ศูนย์บริการรถยนต์โตโยต้า สาขาสามสิบเมตรหาดใหญ่ เมื่อจำเลยที่ 3 ไปถึง พันตำรวจเอกศักดาให้จำเลยที่ 3 พาไปตรวจค้นบ้านภริยาจำเลยที่ 3 ยึดได้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตาย จำเลยที่ 3 ให้การไว้ในชั้นสอบสวน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่หน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังนั้นถึงแก่ความตายและฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้หรือไม่ และมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังนั้นถึงแก่ความตายหรือไม่ พยานโจทก์มีพันตำรวจเอกศักดาเบิกความว่า พยานสอบสวนจำเลยที่ 2 ไว้ในฐานะผู้ให้ถ้อยคำ จำเลยที่ 2 ยอมรับว่าได้ร่วมกระทำความผิดจริง และพนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 3 ไว้ในฐานะผู้ต้องหา จำเลยที่ 3 ให้การยอมรับว่าได้ร่วมกระทำความผิดจริง
คดีมีปัญหาสำคัญที่ต้องพิจารณาว่า คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าจะรับฟังได้หรือไม่ เพียงใด ในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 บัญญัติไว้ความว่า ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ และมาตรา 227/1 บัญญัติไว้ความว่า ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า ศาลต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานอื่นที่ไปประกอบมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย สำหรับคดีนี้ พันตำรวจเอกศักดาเบิกความว่า พยานได้รับคำสั่งให้เป็นผู้สืบสวนหาตัวคนร้าย มีแหล่งข่าวแจ้งว่ามีเด็กขับเรือหางยาว 2 คน เป็นผู้พาชาวมาเลเซียไปที่เกาะทอม พยานให้พามาพบ แหล่งข่าวได้นำนายสะมะแอ กับนายหมัดอารี มาพบ ทั้งสองคนแจ้งว่า นายบังเหล็บ มาว่าจ้างเรือไป โดยมีนายบังเหล็บ ชาวมาเลเซีย และชายผิวขาวอีก 1 คน ไปด้วยกัน ซึ่งภายหลังจับจำเลยที่ 1 ได้แล้ว นายสะมะแอและนายหมัดอารีมาเบิกความที่ศาลยืนยันว่า ชายคนดังกล่าวคือจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นพันตำรวจเอกศักดาสืบสวนขยายผลต่อมาจนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามโดยมีการตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่จากจำเลยทั้งสามและตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พบว่ามีการใช้ติดต่อกันระหว่างจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์เดชา และผู้เสียหายที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นที่มาของการสอบปากคำจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 สอดคล้องกัน อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความต่อศาลก็มีข้อเท็จจริงที่สอดคล้องใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้ในคำให้การชั้นสอบสวน ทำให้มีเหตุผลตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นที่นำคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาพิจารณามีน้ำหนักรับฟังลงโทษได้
สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความตามคำให้การชั้นสอบสวนว่า วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 13 นาฬิกา จำเลยที่ 1 โทรศัพท์ให้จำเลยที่ 2 ไปพบที่สนามบิน ระหว่างทางขณะจำเลยที่ 2 ขับรถกระบะไปถึงบ้านควนกบ อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา จำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาถามจำเลยที่ 2 ว่าถึงที่ไหนแล้วและให้จำเลยที่ 2 กลับรถมานำทางให้จำเลยที่ 1 ไปตำบลปาดังเบซาร์ เมื่อจำเลยที่ 2 มาถึงสี่แยกไฟแดงที่ตำบลปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 1 โทรศัพท์บอกให้จำเลยที่ 2 ไปรอที่บ้านจำเลยที่ 1 ในเขตเทศบาลตำบลปาดังเบซาร์ หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที จำเลยที่ 1 มาบอกจำเลยที่ 2 ที่บ้านว่าชาวมาเลเซียที่อุ้มมาได้ให้นายบังเหล็บไปแล้ว ต่อมาเวลา 17 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ชวนจำเลยที่ 2 ไปดูที่กักขังชาวมาเลเซียที่อุ้มมาที่ขนำภายในสวนยาง จำเลยที่ 2 พบนายบังเหล็บกับพวกเฝ้าขนำอยู่โดยมีชาวมาเลเซียอยู่ภายในห้อง ล็อกกุญแจเรียบร้อย ต่อมาจำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาให้ไปพบเพื่อจะนำชาวมาเลเซียที่อุ้มมาไปปล่อย จำเลยที่ 1 ขับรถที่มีนายบังเหล็บและชาวมาเลเซียอยู่ด้วย จำเลยที่ 2 ขับรถนำทางไปที่อำเภอหาดใหญ่เพื่อจะปล่อย จำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาว่าให้นำทางไปจังหวัดพัทลุง จนกระทั่งเวลาประมาณ 6 นาฬิกา รถทั้งสองคันไปถึงท่าเรือบ้านเกาะนางคำ อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง นายบังเหล็บได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของเรือหางยาว นายบังเหล็บ จำเลยที่ 1 ชาวมาเลเซียที่อุ้มมา และเด็กเรือหางยาวอีก 2 คน พากันออกเรือไป จำเลยที่ 2 รออยู่ในรถประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาบอกให้กลับไปก่อน วันรุ่งขึ้น (วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557) ช่วงสาย นายบังเหล็บมาที่บ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งนัดกันไว้ก่อนแล้ว นายบังเหล็บให้เงินจำเลยที่ 2 จำนวน 55,000 บาท (เงินมาเลเซีย) เป็นค่าจ้างในการทำงานครั้งนี้ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ขับรถนำทางให้จำเลยที่ 1 ไปในที่ต่างๆ และได้พบเห็นว่ามีการอุ้มผู้ตายซึ่งเป็นชาวมาเลเซียมากักขังไว้แล้วมีการนำผู้ตายไปปล่อย แล้วจำเลยที่ 2 ก็ได้รับเงินจากนายบังเหล็บ 55,000 บาท เป็นการตอบแทน เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามจำเลยที่ 1 และนายบังเหล็บพาผู้ตายไปที่เกาะทอมจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมในการฆ่าผู้ตายไม่ว่าในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ข้อหาเป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
สำหรับจำเลยที่ 3 ได้ความตามคำให้การชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 3 ติดต่อให้นายบังเหล็บมารับผู้ตาย แต่นายบังเหล็บให้จำเลยที่ 1 มารับผู้ตายไปจากร้านตาชั่งอีสาน หลังจากนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 20 นาฬิกา นายบังเหล็บโทรศัพท์บอกให้จำเลยที่ 3 ไปพบที่ตำบลปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 3 จึงขับรถจักรยานยนต์ไปพบและพูดคุยกับนายบังเหล็บที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในตลาดปาดังเบซาร์โดยมีจำเลยที่ 1 ร่วมอยู่ด้วย นายบังเหล็บนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายส่งให้จำเลยที่ 3 ใช้ติดต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาผู้ตายเพื่อให้ผู้เสียหายนำเงินมาไถ่ตัวผู้ตาย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 จำเลยที่ 3 ใช้โทรศัพท์ของผู้ตายโทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายเรียกเงิน 8,000,000 บาท ผู้เสียหายบอกว่ามีเงินเพียง 1,500,000 บาท จำเลยที่ 3 ตัดสินใจเองไม่ได้จึงเดินทางไปหานายบังเหล็บที่ตำบลปาดังเบซาร์อีกครั้งในตอนค่ำของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 แล้วโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายต่อหน้านายบังเหล็บเพื่อให้นายบังเหล็บรับทราบกรณีภริยาผู้ตายต่อรองเงินค่าไถ่จาก 8,000,000 บาท เป็น 1,500,000 บาท นายบังเหล็บตกลงและบอกให้จำเลยที่ 3 แจ้งผู้เสียหายให้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาที่อำเภอหาดใหญ่ จำเลยที่ 3 จึงนัดให้ผู้เสียหายนำเงิน 1,500,000 บาท ไปวางไว้ที่ซุ้มสำหรับขายของบริเวณปากซอยขจรอุทิศ แล้วจำเลยที่ 3 แอบซุ่มอยู่จนกระทั่งเวลา 22 นาฬิกา ของวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 มีผู้หญิงคนหนึ่งนำสิ่งของไปวางไว้ในตำแหน่งตามที่นัดหมาย จำเลยที่ 3 ไปดูพบว่าเป็นเงินริงกิตมาเลเซียจำนวน 100,000 เหรียญ และเงินไทยอีก 500,000 บาท จำเลยที่ 3 จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเก็บไว้ที่พักโดยแบ่งเป็นของจำเลยที่ 3 ประมาณ 600,000 บาท แล้วแจ้งให้นายบังเหล็บเดินทางมาพบวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ต่อมาเวลาประมาณเที่ยงของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 นายบังเหล็บมาพบจำเลยที่ 3 แล้วนำเงินส่วนที่เหลือไป โดยก่อนแยกกันจำเลยที่ 3 บอกให้นายบังเหล็บปล่อยผู้ตาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังที่ได้ความฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้วพวกของจำเลยได้ฆ่าผู้ตายนั้น ถือได้ว่าการตายของผู้ตายเป็นผลมาจากการที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคท้าย (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 199 (เดิม), 289 (4) (7) ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 289 (4) (7) ให้ประหารชีวิต ฐานลอบฝัง ซ่อนเร้นศพผู้ตาย จำคุก 1 ปี ไม่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจาณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานลอบฝัง ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย คงจำคุก 8 เดือน รวมแล้วจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิตตามมาตรา 91 (3) จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ประหารชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดชีวิต ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ยกฟ้อง ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 เครื่อง พร้อมซิมการ์ดและรถกระบะ 2 คัน ของกลาง

Share