คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับว่าจำเลยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์แต่ต่อสู้ว่าออกเพื่อประกันหนี้จำนำและได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีหน้าที่นำสืบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดสาขาสุทธิสาร จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 22 เมษายน 2536ทั้งสองฉบับ สั่งจ่ายเงินจำนวน 420,000 บาท และ 540,000 บาทตามลำดับ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมให้โจทก์ ต่อมาวันที่22 เมษายน 2536 ซึ่งเป็นวันที่เช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดโจทก์นำไปเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาสีลม เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “บัญชีปิดแล้ว” ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,011,287.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับมิใช่เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้เงินกู้ยืมโจทก์ แต่เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์เพื่อค้ำประกันเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 540,000 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่7 มกราคม 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดสาขาสุทธิสาร ลงวันที่ 22 เมษายน 2536 สั่งจ่ายเงินจำนวน540,000 บาท ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเพียงประการเดียวว่า เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.3 มีมูลหนี้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นเช็คประกันการชำระหนี้ เมื่อมีการชำระเงินที่จำนำไปแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ข้อนี้จำเลยเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2533 นายธีรวัฒน์ ดีเกียรติล้ำ ได้นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4จ-4059 กรุงเทพมหานคร มาขายให้ โดยมอบเอกสารของผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมให้จำเลยได้จ่ายเงินสดให้นายธีรวัฒน์ไป 200,000 บาท ส่วนที่เหลือได้จำนำและเอาเงินจากโจทก์ให้นายธีรวัฒน์ไป โดยจำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมายจ.3 ให้โจทก์ ต่อมาจำเลยขายรถคันดังกล่าวไม่ได้จึงได้เรียกนายสุนทรซึ่งเป็นคนของโจทก์มารับรถไปเพื่อหักกลบลบหนี้แต่นายสุนทรไม่ได้คืนเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 ให้เนื่องจากไว้ใจกัน โจทก์เบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2533จำเลยได้มากู้เงินไป 540,000 บาท โดยมอบเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ. ไว้เป็นประกัน เมื่อเช็คถึงกำหนดจำเลยไม่สามารถคืนเงินให้แก่โจทก์ได้ จำเลยเลื่อนการชำระหนี้ไปโดยแก้ไขวันที่สั่งจ่ายและลงลายมือชื่อกำกับไว้ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน รถยนต์หมายเลขทะเบียน 4จ-4059 กรุงเทพมหานครโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การรับว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 ให้โจทก์ แต่ต่อสู้ว่าออกเพื่อประกันหนี้จำนำและได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงมีหน้าที่นำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 วรรคหนึ่ง จำเลยเบิกความว่าได้มอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4จ-4059 กรุงเทพมหานครให้นายสุนทรคนของโจทก์เพื่อหักกลบลบหนี้ไปแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้นายสุนทรบันทึกข้อความว่าได้รับรถยนต์คันดังกล่าวไปจากจำเลย ทั้งไม่ได้ขอเช็คพิพาทคืนจากโจทก์หรือนายสุนทรนายสุนทรเบิกความเป็นพยานจำเลยปฏิเสธว่า ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเช็คพิพาทในคดีนี้ พยานจำเลยจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และเมื่อเช็คพิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จึงน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share