คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับพวกจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนในโฉนดเลขที่ 453 ซึ่งโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลครั้นช่างแผนที่ไปทำแผนที่พิพาทในคดีดังกล่าว กลับปรากฏว่าโจทก์นำชี้ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 1908 มิใช่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 453 ดังโจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานทั้ง สองฝ่ายแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 453 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินโฉนดเลขที่1908 ซึ่งจำเลยแบ่งแยกออกจากโฉนดเลขที่ 453 เดิม ดังนี้ ที่พิพาทในคดีก่อนกับคดีนี้จึงเป็นที่ดินคนละโฉนดกันและประเด็นคดีนี้ที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในโฉนดเลขที่ 1908 โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ คดีก่อนยังไม่ได้วินิจฉัย จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยานายโต๊ะนาวัน ยิ่งนิยม เมื่อปี 2494 จำเลยขายที่นาโฉนดเลขที่ 453 บางส่วนให้แก่นายโต๊ะนาวัน จำเลยได้รับชำระราคาไปครบถ้วนและมอบที่นาให้ครอบครอง นายโต๊ะนาวันถึงแก่กรรม เมื่อประมาณ 20 ปีมานี้ โจทก์ได้เข้าครอบครองสืบเนื่องต่อจากนายโต๊ะนาวันตลอดมาด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์ได้ยื่นคำร้องและศาลจังหวัดธัญญบุรีได้มีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิต่อเจ้าพนักงาน จำเลยได้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 453 ออกเป็นหลายแปลง เฉพาะที่ดินที่โจทก์ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ได้รวมอยู่กับที่ดินในโฉนดใหม่คือโฉนดเลขที่ 1908 ขอศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกให้โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 453 ให้นายโต๊ะนาวันจริง แต่ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินเขียนโฉนดแบ่งแยกที่ดินที่จะขายเนื้อที่ดินมากกว่าที่ตกลงซื้อขายกัน จำเลยขอให้ซื้อทั้งหมด นายโต๊ะนาวันไม่มีเงินจึงตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวและเงินที่โจทก์รับมาโจทก์ได้คืนให้นายโต๊ะนาวันไปครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นนายโต๊ะนาวันและบุตรเขยได้ขอเช่าที่นาแปลงดังกล่าวทำจนถึงปี พ.ศ. 2516 นายโต๊ะนาวันและโจทก์ไม่เคยครอบครองที่นาดังกล่าวอย่างเป็นเจ้าของ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดธัญญบุรีเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 97/2516 เกี่ยวกับที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 453 มาแล้ว ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์มาฟ้องคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ที่ให้เรียกนายพลายงาม สิริเวชชะพันธ์ นางสาวผุสดี สิริเวชชะพันธ์ นางสาวผ่องศรี สิริเวชชะพันธ์ และเด็กชายโผน สิริเวชชะพันธ์ เข้าเป็นจำเลยร่วม จำเลยร่วมทุกคนขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

คู่ความแถลงรับกันว่า แผนที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 1908 ที่ช่างแผนที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญญบุรี ทำมาถูกต้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ นายโต๊ะนาวันสามีโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จำเลยร่วมทุกคนรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยไม่มีค่าตอบแทน ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ แต่บัดนี้จำเลยร่วมที่ 1 ไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทแล้วพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้จำเลยกับจำเลยร่วมที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จัดการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยร่วมที่ 1

จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 มิใช่โดยนิติกรรม โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยกับจำเลยร่วมจัดการแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ กรณีเป็นเรื่องต้องปฏิบัติตามฎหมายที่ดินมาตรา 78 และกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(3) ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่โจทก์ขอให้จำเลยและจำเลยร่วมจัดการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์เสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้คดีคงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 97/2516 นั้น โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับพวกจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนในโฉนดเลขที่ 453 ซึ่งโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 75/2515 และในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยืนยันต่อศาลว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในโฉนดเลขที่ 453 ปัจจุบัน ซึ่งเหลือจากจำเลยจัดการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 453 เดิมเป็นแปลงย่อยแล้ว ครั้นช่างแผนที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญญบุรีไปทำแผนที่พิพาทในคดีดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์นำชี้ที่พิพาทที่โจทก์ครอบครองเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 1908มิใช่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 453 ดังที่โจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 453 ปัจจุบันส่วนโจทก์จะมีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 1908 อย่างใด ไม่เกี่ยวกับคดีนั้น และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1908 ซึ่งจำเลยแบ่งแยกออกจากโฉนดเลขที่ 453 เดิม ฉะนั้น ที่พิพาทในคดีก่อนกับคดีนี้จึงเป็นที่ดินคนละโฉนดกัน และประเด็นคดีนี้ที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในโฉนดเลขที่ 1908 โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ คดีก่อนยังไม่ได้วินิจฉัย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 400 บาทแทนโจทก์

Share