คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4517/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่า ที่ดินพิพาทคดีนี้กับทรัพย์สินอื่นรวม 11 รายการเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ท. ต่อมา ท. ถึงแก่กรรม ขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ท. แก่กองมรดก ท. ถ้าการแบ่งไม่เป็นที่ตกลงกันให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน เพื่อนำไปแบ่งระหว่างทายาทกับให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนใส่ชื่อ ท. ใน น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาทเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้อ้างเหตุเดียวกันอีก แม้โจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของท. ใน น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยก็ตาม แต่ในการที่จะบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ ศาลจำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ท. และเป็นทรัพย์มรดกของ ท. ครึ่งหนึ่งหรือไม่เสียก่อน กรณีจึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่โจทก์มีคำขอบังคับแตกต่างไปจากคำขอในคดีก่อนเท่านั้น ซึ่งคำขอบังคับดังกล่าวโจทก์สามารถขอได้ในคดีก่อนอยู่แล้ว ฟ้องของโจทก์ จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมาเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 20, 21, 51 และ 174 ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคายหากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย และให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าวแก่โจทก์ ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538ของศาลจังหวัดหนองคาย ที่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมา ฟ้องจำเลยให้แบ่งทรัพย์มรดกรวม 11 รายการ รวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่กองมรดกของนางทุมมาครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 110,921.23 บาท จึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมา ศรีวรษา เคยฟ้องจำเลยให้แบ่งทรัพย์มรดกของนางทุมมาต่อศาลจังหวัดหนองคาย ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538 ซึ่งศาลจังหวัดหนองคายพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก 11 รายการตามคำฟ้องแก่กองมรดกนางทุมมาครึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขณะคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมา ศรีวรษา ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 20, 21, 51 และ 174 ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคาย ร่วมกับจำเลยตามสัดส่วนตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538 ของศาลจังหวัดหนองคาย หากไม่มีการจัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538 ของศาลจังหวัดหนองคาย โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่า ที่ดินพิพาทคดีนี้กับทรัพย์สินอื่นรวม 11 รายการ เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทุมมา ศรีวรษา ต่อมานางทุมมาถึงแก่กรรม ขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางทุมมาแก่กองมรดกของนางทุมมาถ้าการแบ่งไม่เป็นที่ตกลงกันให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน เพื่อนำไปแบ่งระหว่างทายาท กับให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนใส่ชื่อนางทุมมาในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างเหตุเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทุมมาเป็นทรัพย์มรดกของนางทุมมาครึ่งหนึ่ง โดยขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมาในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลย ในการที่จะบังคับให้ตามคำขอของโจทก์นั้น ศาลจำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทุมมาและเป็นทรัพย์มรดกของนางทุมมาครึ่งหนึ่งหรือไม่เสียก่อน กรณีจึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่โจทก์มีคำขอบังคับแตกต่างไปจากคำขอในคดีก่อนเท่านั้น ซึ่งคำขอบังคับดังกล่าวโจทก์สามารถขอได้ในคดีก่อนอยู่แล้วแต่โจทก์ไม่ขอกลับมาฟ้องคดีนี้ขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1)

พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share